ม.นเรศวร ส่งเสริมชุมชนยั่งยืนผ่านกิจกรรมบายศรีสู่ขวัญ ต้อนรับนิสิตใหม่ สืบสานวัฒนธรรมไทย

มหาวิทยาลัยนเรศวรให้ความสำคัญกับการพัฒนาที่ยั่งยืนในด้านวัฒนธรรมและการสร้างชุมชนที่แข็งแกร่ง (SDG 11) ผ่านการจัดกิจกรรมที่สะท้อนถึงเอกลักษณ์และคุณค่าทางวัฒนธรรมของไทย หนึ่งในนั้นคือ กิจกรรมบายศรีสู่ขวัญ พิธีเทียน และรับน้องเข้าวัง ซึ่งจัดขึ้นเพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างนิสิตใหม่ รุ่นพี่ และศิษย์เก่า พร้อมทั้งปลูกฝังจิตสำนึกความภาคภูมิใจในสถาบัน

กิจกรรมต้อนรับในปีนี้ จัดขึ้นเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2566 โดยเริ่มต้นด้วย พิธีบายศรีสู่ขวัญ เวลา 17.40 น. ณ ห้องประชุมมหาราช ต่อด้วยกิจกรรม NU Hi Touch เวลา 19.00 น. ซึ่งเป็นช่วงเวลาสำคัญที่นิสิตใหม่ได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากรุ่นพี่และศิษย์เก่าในบรรยากาศที่เปี่ยมด้วยมิตรภาพ

สานต่อประเพณี สร้างชุมชนที่ยั่งยืน
กิจกรรมดังกล่าวเป็นประเพณีที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี เพื่อสร้างความผูกพันและความสามัคคีในชุมชนมหาวิทยาลัย พร้อมทั้งสืบสานวัฒนธรรมไทยให้คงอยู่ในสถาบันการศึกษา โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้นิสิตใหม่ได้สัมผัสถึงคุณค่าของการอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข และการเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวมหาวิทยาลัยนเรศวร

บทบาทของศิษย์เก่าในกิจกรรม
กิจกรรมยังเปิดโอกาสให้ศิษย์เก่าได้มีส่วนร่วมในการต้อนรับและแบ่งปันประสบการณ์แก่รุ่นน้อง ซึ่งไม่เพียงเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างอดีตและปัจจุบันของมหาวิทยาลัย แต่ยังช่วยกระชับสายใยของชุมชนมหาวิทยาลัยให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น

มหาวิทยาลัยนเรศวรภูมิใจที่ได้สืบสานประเพณีต้อนรับนิสิตใหม่ที่สะท้อนถึงความสำคัญของการอนุรักษ์วัฒนธรรมและการสร้างชุมชนที่แข็งแกร่ง พร้อมทั้งมุ่งมั่นที่จะดำเนินกิจกรรมในลักษณะนี้ต่อไป เพื่อสานต่อเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนในด้านวัฒนธรรมและความยั่งยืนในอนาคต

ติดตามข่าวสารและกิจกรรมเพิ่มเติมได้ที่
📌 Facebook: NU Alumni Association
📌 Website: มหาวิทยาลัยนเรศวร

ศิษย์เก่าจบไปแล้ว หรือ บุคคลภายนอก ก็เข้าใช้บริการได้ ฟรี!!

ศิษย์เก่าจบไปแล้ว หรือ บุคคลภายนอก ก็เข้าใช้บริการสำนักหอสมุด มหาวิทยาลัยนเรศวรได้ ฟรี !!
เพียงยื่นบัตรประจำตัวประชาชนที่จุดประชาสัมพันธ์ ชั้น 1 ณ จุดติดต่อสอบถาม ก่อนเข้าใช้บริการ

สำนักหอสมุด มหาวิทยาลัยนเรศวร เป็นแหล่งการเรียนรู้ชั้นเลิศของปวงชนด้วยนวัตกรรมบริการที่ทันสมัย มีเป้าหมายเป็นแหล่งการเรียนรู้ชั้นเลิศของปวงชนด้วยนวัตกรรมบริการที่ทันสมัย เพื่อพัฒนาสำนักหอสมุดให้เป็นแหล่งสารสนเทศหลักที่ประชาคมมหาวิทยาลัยนเรศวรเลือกเข้าใช้บริการ และพัฒนาสำนักหอสมุดให้มีทรัพยากรสารสนเทศที่หลากหลาย ครอบคลุมทุกหลักสูตรการเรียนการสอน รวมถึงพัฒนาสำนักหอสมุดเพื่อสร้างการใฝ่เรียนรู้ และทักษะการแสวงหาสารสนเทศ ให้แก่ประชาคมมหาวิทยาลัยนเรศวร และการบริการสำหรับประชาชนทั่วไป ตลอดจนพัฒนาการดำเนินงานในทุกด้านอย่างต่อเนื่องตามระบบและกลไกการประกันคุณภาพ และบริหารจัดการให้มีประสิทธิภาพสามารถตรวจสอบได้โดยยึดหลักธรรมาภิบาล

ที่มา: สำนักหอสมุด มหาวิทยาลัยนเรศวร

ม.นเรศวร ร่วมสัมมนา ‘Textile Talk’ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจสร้างสรรค์และท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมในเขต LIMEC ยกระดับศักยภาพสุโขทัย สร้างรายได้และอาชีพยั่งยืน

เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2566, มหาวิทยาลัยนเรศวร ภายใต้การนำของ ดร.จารุวรรณ แดงบุบผา ผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายกิจการนิสิต และ นางนิพัทธ์ เกษาพร ผู้อำนวยการกองส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม ร่วมกับบุคลากรจากมหาวิทยาลัยนเรศวร ได้เข้าร่วมการสัมมนา “Textile Talk” ซึ่งเป็นกิจกรรมที่จัดขึ้นเพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้และเสริมสร้างความร่วมมือด้านการพัฒนาศักยภาพของอุตสาหกรรมผ้าทอและวัฒนธรรมในพื้นที่ โดยมีการเชื่อมโยงกับการท่องเที่ยวในเครือข่ายระเบียงเศรษฐกิจ LIMEC (Lower Mekong Subregion Economic Corridor)โรงแรมสุทัยเทรชเชอร์ รีสอร์ท แอนด์ สปา จังหวัดสุโขทัย

1. การส่งเสริมการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจท้องถิ่นผ่านวัฒนธรรมและหัตถกรรม: การสัมมนาครั้งนี้มีจุดประสงค์หลักในการส่งเสริมการเรียนรู้และแลกเปลี่ยนประสบการณ์ด้านเศรษฐกิจวัฒนธรรม ผ่านการท่องเที่ยว โดยมุ่งเน้นการยกระดับ เมืองสุโขทัย ให้เป็นเมืองสร้างสรรค์ที่มีศักยภาพด้านงานหัตถกรรมและศิลปะพื้นบ้าน สถานที่นี้ถือเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีความสำคัญในการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม รวมถึงการพัฒนาความร่วมมือระหว่างพื้นที่ในเขตระเบียงเศรษฐกิจ LIMEC ซึ่งประกอบด้วยหลายประเทศในภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง

มหาวิทยาลัยนเรศวรได้มีบทบาทสำคัญในการเชื่อมโยงความร่วมมือระหว่าง ภาครัฐ, ภาคเอกชน, และ ภาคประชาชน ในการพัฒนาเศรษฐกิจของพื้นที่จังหวัดสุโขทัยและพื้นที่โดยรอบ ผ่านการสนับสนุนการพัฒนาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวที่เน้นการเชื่อมโยงกับ งานหัตถกรรมพื้นบ้าน อันเป็นเอกลักษณ์ท้องถิ่น ซึ่งจะช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าและบริการที่มีในพื้นที่ พร้อมทั้งสร้างโอกาสในการพัฒนาการท่องเที่ยวที่ยั่งยืน

2. การสร้างงานและการเติบโตทางเศรษฐกิจ (SDG 8): การพัฒนาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและงานหัตถกรรมในพื้นที่ภาคเหนือ เช่น งานทอผ้าและศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้าน นอกจากจะช่วยยกระดับการท่องเที่ยวแล้วยังมีผลต่อการ สร้างงาน และ สร้างอาชีพ ในท้องถิ่น การฝึกอบรมและพัฒนาทักษะในการทำงานหัตถกรรมทำให้ชุมชนมีโอกาสในการสร้างรายได้จากกิจกรรมเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว

การพัฒนารูปแบบการท่องเที่ยวที่เน้น เศรษฐกิจสร้างสรรค์ เป็นแนวทางสำคัญในการส่งเสริม SDG 8 (การเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืนและการทำงานที่ดี) ซึ่งจะช่วยให้ชุมชนในพื้นที่สามารถพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืน ลดการพึ่งพาการท่องเที่ยวที่เกิดจากการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างไม่ยั่งยืน หรือการลงทุนภายนอกที่ไม่เกิดประโยชน์กับชุมชนอย่างแท้จริง

3. การส่งเสริมการพัฒนาเมืองและชุมชนที่ยั่งยืน (SDG 11): การสัมมนาครั้งนี้ยังเชื่อมโยงกับ SDG 11 (เมืองและชุมชนที่ยั่งยืน) โดยการพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมที่ผสมผสานกับการอนุรักษ์มรดกวัฒนธรรมท้องถิ่น และการพัฒนาชุมชนอย่างยั่งยืน ผ่านการส่งเสริม การท่องเที่ยวที่ยั่งยืน การใช้วัฒนธรรมท้องถิ่นและงานหัตถกรรมเป็นสินค้าทางวัฒนธรรมที่มีคุณค่า ไม่เพียงแต่ช่วยสร้างรายได้ให้แก่ชุมชน แต่ยังช่วยในการสร้างความรู้สึกภาคภูมิใจในมรดกทางวัฒนธรรมของชุมชน

การส่งเสริมการท่องเที่ยวที่ยั่งยืน ยังทำให้เมืองสุโขทัยมีโอกาสในการเติบโตในฐานะ เมืองสร้างสรรค์ ซึ่งมีการใช้ศิลปะและวัฒนธรรมเป็นเครื่องมือในการพัฒนาเมืองให้มีความเป็นเอกลักษณ์และดึงดูดนักท่องเที่ยวในระยะยาว การพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่และสร้างความเชื่อมโยงกับการพัฒนาระยะยาวของเมืองให้ยั่งยืน ถือเป็นการขับเคลื่อน SDG 11 อย่างมีประสิทธิภาพ

4. บทบาทของมหาวิทยาลัยนเรศวรในการพัฒนาที่ยั่งยืน: มหาวิทยาลัยนเรศวรได้มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาชุมชนและเศรษฐกิจท้องถิ่นผ่านการสนับสนุนและการเชื่อมโยงเครือข่ายต่าง ๆ โดยเฉพาะในด้านการท่องเที่ยวและศิลปะท้องถิ่น ซึ่งเป็นการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่ มหาวิทยาลัยได้ร่วมมือกับภาคส่วนต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน เพื่อสร้าง พันธมิตร ที่มุ่งเน้นการพัฒนาอย่างยั่งยืนและขยายผลการพัฒนาไปสู่พื้นที่อื่น ๆ ภายในเขตระเบียงเศรษฐกิจ LIMEC

การส่งเสริมกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่น โดยเฉพาะงานหัตถกรรม เช่น การทอผ้า ยังเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจในพื้นที่โดยการสร้าง งาน และ อาชีพ ให้กับชุมชน ซึ่งสอดคล้องกับทั้ง SDG 1 (การขจัดความยากจน) และ SDG 8 (การเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืน) รวมถึง SDG 11 ที่เน้นการพัฒนาเมืองและชุมชนให้มีความยั่งยืน

ที่มา: กองส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยนเรศวร

ยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยห้องปฏิบัติการวิจัยในประเทศไทย (ESPReL)

วันที่ 2 พฤษภาคม 2566 คณะกรรมการด้านมาตรฐานความปลอดภัยห้องปฏิบัติการที่เกี่ยวข้องกับสารเคมี มหาวิทยาลัยนเรศวร โดยมี ดร.วิสาข์ สุพรรณไพบูลย์ หัวหน้าผู้ตรวจประเมินฯ พร้อมด้วยคณะผู้ตรวจประเมินฯ เข้าตรวจประเมินด้านมาตรฐานความปลอดภัยห้องปฏิบัติการ (ESPReL Checklist) ตามนโยบายและการขับเคลื่อนด้านความปลอดภัยของห้องปฏิบัติการที่เกี่ยวกับสารเคมี (พ.ศ.2566 – 2570) ของสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) “เพื่อเตรียมความพร้อมเชื่อมโยงเรื่องการจัดการความปลอดภัยของห้องปฏิบัติการกับการจัดสรรทุนวิจัย วช. สร้างความตระหนักและมุ่งให้เกิดวัฒนธรรมความปลอดภัยอย่างยั่งยืน มีการจัดการความปลอดภัยในห้องปฏิบัติการอย่างเป็นระบบและมีความต่อเนื่อง”

ผศ.วิไลลักษณ์ สวนมะลิ รองคณบดีฝ่ายวิชาการวิจัยและนวัตกรรม พร้อมด้วยบุคลากรคณะวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏกำแพงเพชร ร่วมรับฟังการนำเสนอรายงานการดำเนินงาน ตรวจประเมินโครงการยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยห้องปฏิบัติการวิจัยในประเทศไทย (ESPReL) ณ ห้องประชุมเล็ก ชั้น 1 คณะวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏกำแพงเพชร ซึ่งการตรวจประเมินในครั้งนี้ มีห้องปฏิบัติการ เข้าร่วมการตรวจประเมิน จำนวน 3 ห้อง ได้แก่
1. ห้องปฏิบัติการวิจัยเคมีพื้นฐาน 1
2. ห้องปฏิบัติการชีวอนามัยระดับ 2
3. ห้องปฏิบัติการทางเคมี

โดย….งานจัดการมาตรฐานและเครือข่าย กองการวิจัยและนวัตกรรม มหาวิทยาลัยนเรศวร ร่วมกับคณะกรรมการด้านมาตรฐานความปลอดภัยห้องปฏิบัติการที่เกี่ยวข้องกับสารเคมี มหาวิทยาลัยนเรศวร https://www.mis.research.nu.ac.th/clsc/index.php

ฐานข้อมูลความปลอดภัยห้องปฎิบัติการ ESPReL Knowledge Platform สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม https://labsafety.nrct.go.th/site/index

ที่มา: กองการวิจัยและนวัตกรรม มหาวิทยาลัยนเรศวร

4 ฉากทัศน์ แก้ปัญหาฝุ่น ‘PM2.5’ อย่างยั่งยืนใน 15 ปี

ประเทศไทยกำลังประสบปัญหาค่าความเข้มข้นของ ‘PM2.5’ ในบรรยากาศเกินค่ามาตรฐานความปลอดภัยต่อสุขภาพประชาชน ทั้งในกรุงเทพมหานครและหลายจังหวัดในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา และเป็นปัญหาที่จะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในอนาคต

ในปี 2565 จากการรวบรวมข้อมูล DustBoy พบว่า จำนวนวันที่ PM2.5 เกินมาตรฐาน WHO ในหลายเขตของ กทม. สูงกว่า 40 – 70 วัน โดยเขตที่เกินมาตรฐานที่สุด คือ เขตดินแดง เกินค่ามาตรฐานถึง 249 วัน PM2.5 ส่งผลให้คนเสียชีวิตก่อนวัยอันควรกว่า 4,486 คนต่อปีในกทม. ความเสียหายต่อเศรษฐกิจในกทม. คิดเป็น 4.51 แสนล้านบาทต่อปีในปี 2562

อย่างไรก็ตาม การแก้ปัญหาฝุ่นต้องอาศัยระยะเวลา แม้แต่ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งถือเป็นต้นแบบของการแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศและการแก้ปัญหาฝุ่น มีกฎหมาย Clean Air Act ซึ่งเป็นต้นแบบในหลายๆ ประเทศ ก็ยังต้องใช้เวลากว่า 10-15 ปีในการแก้ไขปัญหา

เมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2566 “รศ.ดร.ธนพล เพ็ญรัตน์” ผู้เชี่ยวชาญระดับสูง สกสว. กล่าวในงานแถลงข่าว ‘ววน.รวมพลังฝ่าวิกฤต PM2.5’ ณ ห้องประชุม อาคารพระจอมเกล้า ถนนโยธี โดยทำการวิเคราะห์ 4 ฉากทัศน์ของการจัดการฝุ่นและมลพิษทางอากาศ โดยการใช้ AI ประมวลผลจับคู่งานวิจัยในฐานข้อมูลของแผนปฏิบัติการด้านวิทยาศาสตร์วิจัยและนวัตกรรม (ววน.) ที่ได้ให้ทุนไปในช่วง ปี 2563 – 2565 จำนวนกว่า 18,227 ชิ้น ออกมาเป็น 4 มาตรการ แก้ปัญหาฝุ่นยั่งยืนใน 15 ปีหากมีการนำเอางานวิจัยมาใช้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ดังนี้

มาตรการที่ 1 คือ มาตรการเร่งด่วน ปกป้องตนเอง : การแก้ไขปัญหาฝุ่นต้องใช้เวลา 10-15 ปี ถึงจะสามารถแก้ไขอย่างเป็นระบบ ดังนั้น ในช่วงนี้ ประชาชนต้องลดการสัมผัส PM2.5 ในบรรยากาศ ป้องตนเองโดยการเช็กค่าฝุ่นละอองในขณะนั้นว่า อยู่ในระดับที่ส่งผลต่อสุขภาพหรือไม่ โดย กระทรวง อว. มีเครือข่ายเซ็นเซอร์กระจายอยู่ทั่วประเทศ มากกว่า 1,300 จุด สามารถเข้าไปดูในเว็บไซต์ คลิก

เซ็นเซอร์ที่มีการใช้งานแพร่หลายคือ DustBoy โดยในปัจจุบัน เขตกทม. มีผู้ใช้งาน 1.5 แสนคนต่อปี เพื่อปกป้องตนเอง ในช่วงค่าฝุ่นสูง ก็จะสามารถลดการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรไปได้ 86 คนต่อปี ต้องมีการกระตุ้นเชิงพฤติกรรมให้คนหันมาใช้ข้อมูลจากเซ็นเซอร์เพื่อลดการสัมผัสฝุ่น PM2.5 อีกทั้งในปัจจุบันมีการใช้ไลน์ในการแจ้งเตือนแต่ละจุดที่อยู่ ว่ามีฝุ่นเข้มข้นมากน้อยแค่ไหน อันตรายหรือไม่ รวมถึงจะมีแอปฯ ของกระทรวง อว. ออกมาในช่วงเดือน ก.พ. – มี.ค. นี้เพื่อเตือนภัยฝุ่น

มาตรการที่ 2 เมืองแห่งรถไฟฟ้า : การเปลี่ยนผ่านไปสู่การใช้รถยนต์ EV เพื่อลดการปลดปล่อยฝุ่นจากการจราจร โดย 59% ของฝุ่น PM2.5 ใน กทม. มาจากการขนส่งและการจราจร ตามแผนคณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ หรือ บอร์ด EV จะเปลี่ยนไปใช้รถ EV 37 % ของรถทั้งหมดในปัจจุบัน ภายใน 14 ปีข้างหน้า หรือ ปี 2578 จะลดการปลดปล่อยฝุ่น ใน กทม. ได้ 22%

ซึ่งจากแบบจำลองจะลดวันที่ฝุ่น PM2.5 เกินค่ามาตรฐานลงได้ 52.38% รวมจำนวนวันที่ฝุ่น PM2.5 เกินค่ามาตรฐาน WHO ในทุกเขตประมาณ 538 วัน ลดโอกาสเสียชีวิตก่อนวัยอันควรได้ 2,350 คนต่อปีในกทม. ลดความเสียหายต่อเศรษฐกิจ กทม. ได้ 2.36 แสนล้านบาท ต่อปี เทียบกับข้อมูลปี 62 ซึ่งงานวิจัย ววน. มีความพร้อมในระดับต้นแบบอุตสาหกรรม ไม่ว่าจะรถไฟฟ้ารางเบา รถไฟฟ้าระหว่างเมือง รถบรรทุกไฟฟ้า รถจักรยานไฟฟ้า

มาตรการที่ 3 อุตสาหกรรมสะอาดขึ้น : 20% ของฝุ่น PM2.5 ใน กทม. มาจากโรงงานอุตสาหกรรม โรงไฟฟ้า ซึ่งจริงๆ แล้วการปลดปล่อยปลายปล่องนั้นมีเทคโนโลยีลดปล่อยได้กว่า 90% ของเทคโนโลยีที่ไทยใช้อยู่ในปัจจุบัน ในสหรัฐอเมริกา พื้นที่ที่มีค่าคุณภาพอากาศไม่ผ่านเกณฑ์มาตรฐาน จะมีติดตั้งระบบบำบัดมลพิษปลายปล่องที่เข้มงวดเป็นพิเศษ

  • “หากไทยนำแนวคิดนี้มาใช้จะสามารถปรับระบบบำบัดมลพิษอากาศจากโรงงานและโรงไฟฟ้าให้ลดการปลดปล่อยลงได้ 75% ลดการปลดปล่อยฝุ่นพิษได้อีก 15% ของทั้งหมดที่ปล่อยในกทม. รวมถึง ลดวันที่ฝุ่น PM2.5 เกินค่ามาตรฐาน WHO ในกทม. ลงได้ 16.53% รวมจำนวนวันที่ฝุ่นเกินค่ามาตรฐาน WHO ในทุกเขตประมาณ 944 วัน ลดโอกาสเสียชีวิตก่อนวันอันควร ได้ 733 คนต่อปีในกทม. ลดความเสียหายต่อเศรษฐกิจในกรุงเทพฯ ได้ 0.74 แสนล้านบาท ต่อปี เป็นเทคโนโลยีที่มีความพร้อมใช้ในต่างประเทศ แค่ต้องนำมาใช้จริงและงานวิจัยในระบบ ววน. ต้องพัฒนาเทคโนโลยีเหล่านี้ขึ้นมาเอง”

สำหรับอุตสาหกรรมสะอาดต้องมองให้ครบทั้งห่วงโซ่อุปทานการผลิต วัตถุดิบที่ได้มาในการผลิตปลดปล่อยฝุ่นมากน้อยแค่ไหน เช่น อุตสาหกรรมการเกษตร มีหลากหลายเทคนิคและกระบวนการผลิตเพื่อลดการปลดปล่อยฝุ่น ซึ่งมีหลายงานวิจัยและนวัตกรรมของภาคเอกชน เช่น เครื่องจักรขนาดเล็กช่วยตัดใบอ้อยเพื่อลดการเผาที่ใช้ในพื้นที่นำร่อง จ.สิงห์บุรี นวัตกรรมการจัดการเผาเศษวัสดุจากการเกษตรกรรมหรือ แอป FireD (ไฟดี) แอปพลิเคชั่นการจองเผา ในวันที่สภาพอากาศเหมาะสม และไม่ส่งผลให้ค่าฝุ่นเกินมาตรฐาน

มาตรการที่ 4 กลไกตลาดเสริมอำนาจผู้บริโภค : ซึ่งเป็นมาตรการที่สำคัญมาก เพราะ 20% ของ PM2.5 ในกทม. มาจากการเผาชีวมวล เศษวัสดุทางการเกษตร ขณะที่การผลิตในปัจจุบัน มีหลากหลายกระบวนการผลิตที่สะอาดเพื่อลด PM2.5 กว่า 80% สามารถลดวันที่ฝุ่น PM2.5 เกินค่ามาตรฐานในกทม. ได้ 16.62% ขณะเดียวกัน การใช้ฉาก PM2.5 และมลพิษอากาศกับผลิตภัณฑ์จะทำให้ผู้บริโภคทราบข้อมูล ส่งผลต่อกลไกตลาด ส่งผลต่อการผลิตสะอาดมากขึ้น ลดโอกาสเสียชีวิตก่อนวัยอันควรราว 746 คนต่อปีในกทม.  ลดความเสียหายต่อเศรษฐกิจในกทม. ราว 0.75 แสนล้านบาทต่อปี เทียบกับปี 2562

ปัจจุบัน มีเทคโนโลยีทางเลือกอยู่แล้วโดยในไทยมีนักวิจัยที่สามารถประเมินการปล่อย PM2.5 ได้ งานนำร่องที่ดีเป็นวิจัยของมหาวิทยาลัยมหิดล ที่ประเมินการปลดปล่อย ฝุ่นละออง PM2.5 จากการจราจรประเภทต่างๆ เทคนิคนี้สามารถนำไปใช้กับผลิตภัณฑ์ได้ เพื่อให้ผู้บริโภคเลือกสินค้าสะอาด

  • “การเตรียมการเพื่ออนาคตหมดปัญหา PM2.5 ทั้ง 4 มาตรการนั้น ‘มาตรการปกป้องตนเอง’ ววน. ไทย มีความพร้อมของเทคโนโลยี นวัตกรรม นำเข้ามาใช้ได้ แต่ต้องพัฒนาเพิ่มเติมในระยะกลาง ระยะยาว ‘มาตรการเมืองแห่งรถไฟฟ้า’ ต้องมีการลงทุนเพิ่มมากโดยประชาชน ประชาชนปรับตัวแล้ว และ นโยบายภาครัฐสนับสนุนรถ EV สร้างความเชื่อมั่นในการใช้รถไฟฟ้า”

“ส่วน ‘อุตสาหกรรมสะอาดขึ้น‘ มีหลากหลายเทคนิคการลดการปล่อยมลพิษ แต่ต้องการกฎหมาย รวมถึงภาครัฐ เอกชน ลงทุนเพิ่มมากในการปรับระบบการผลิต อุตสาหกรรมปรับตัว ราชการปรับตัว ด้าน ‘การใช้กลไกตลาดเสริมอำนาจผู้บริโภค’ ต้องลงทุนเพิ่มมากเพื่อการผลิตที่สะอาดขึ้น รวมถึงฉลากสิ่งแวดล้อม ประชาชนปรับตัว อุตสาหกรรมปรับตัว” รศ.ดร.ธนพล กล่าว 

ที่มา: กรุงเทพธุรกิจ

กิจกรรมทำใบอนุญาตขับขี่รถจักรยานยนต์ (การมีใบขับขี่รถจักรยานยนต์ใบแรก) รุ่นที่ 1

🧡 ม.นเรศวร ห่วงใยในสวัสดิภาพ ของนักเรียนและนิสิต เพื่อการขับขี่รถจักรยานยนต์อย่างปลอดภัย

🛵กิจกรรมทำใบอนุญาตขับขี่รถจักรยานยนต์(การมีใบขับขี่รถจักรยานยนต์ใบแรก)รุ่นที่ 1 นักเรียนโรงเรียนมัธยมสาธิต มหาวิทยาลัยนเรศวร

—————————

⏰ระหว่างวันที่ 7-8 กุมภาพันธ์ 2566ณ กรมการขนส่งทางบก สำนักงานขนส่งจังหวัดพิษณุโลก แห่งที่ 2

ที่มา: กองกิจการนิสิต มหาวิทยาลัยนเรศวร

ม.นเรศวร จัดโครงการบูรณาการ ร่วมมือท้องถิ่นพัฒนาชุมชนสู่ความยั่งยืน

มหาวิทยาลัยนเรศวรได้ดำเนินงานด้านการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDG 17) ด้วยการเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยและชุมชนท้องถิ่น ผ่านกิจกรรมโครงการบูรณาการการมีส่วนร่วมสู่การพัฒนาชุมชนที่ยั่งยืน ปีที่ 3 ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 19-22 มกราคม 2566 ณ โรงเรียนวัดโพทะเล อำเภอโพทะเล จังหวัดพิจิตร

ในปีนี้ สภานิสิตมหาวิทยาลัยนเรศวรร่วมกับองค์กรกิจกรรมนิสิตส่วนกลางทั้ง 5 ด้าน ได้จัดกิจกรรมหลากหลายประเภทที่ช่วยส่งเสริมการพัฒนาทั้งในด้านวิชาการ กีฬา ศิลปะ คุณธรรม และการบำเพ็ญประโยชน์ เพื่อสร้างความยั่งยืนให้กับชุมชน โดยได้รับเกียรติจากคุณศิริวรรณ กมลพัฒนะ ผู้อำนวยการกองกิจการนิสิต เป็นประธานเปิดโครงการ และท่านนายกสิทธิศักดิ์ ศรีสง่า นายกเทศมนตรีตำบลโพทะเล รวมถึงท่านผู้อำนวยการธเนศ โกวิทย์ ที่ได้ให้เกียรติกล่าวต้อนรับผู้เข้าร่วมกิจกรรม

กิจกรรมภายในโครงการประกอบด้วยการบำเพ็ญประโยชน์ เช่น การปรับปรุงทาสีอุปกรณ์เครื่องเล่นเด็ก, การปรับปรุงสนามวอลเลย์บอล, การจัดทำสนามเปตอง, และการสอนเสริมทักษะกีฬาฟุตบอล นอกจากนี้ยังมีการเสริมทักษะด้านวิชาการ โดยการสอนเสริมวิชา วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และภาษาไทย รวมถึงการจัดทำบอร์ดสื่อการเรียนการสอน เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ให้แก่นักเรียน

ในด้านศิลปะ ผู้เข้าร่วมกิจกรรมได้ร่วมเรียนรู้การร้อง รำ เต้น ในขณะที่กิจกรรมด้านคุณธรรม ได้จัดทำป้ายความรู้สอดแทรกคุณธรรมจริยธรรม เพื่อเสริมสร้างค่านิยมที่ดีในหมู่นักเรียนและชุมชน

โดยในปีนี้ นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น ม.1 ถึง ม.3 ได้มีโอกาสเข้าร่วมกิจกรรมต่าง ๆ ร่วมกับพี่ๆ จากมหาวิทยาลัยนเรศวร ซึ่งกิจกรรมทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของมหาวิทยาลัยในการส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืนผ่านการร่วมมือกับชุมชนและการสร้างโอกาสทางการศึกษาแก่เยาวชนในท้องถิ่น เพื่อพัฒนาและยกระดับคุณภาพชีวิตให้ดียิ่งขึ้นในอนาคต

โครงการนี้เป็นตัวอย่างที่ดีของการบูรณาการความร่วมมือระหว่างภาครัฐ มหาวิทยาลัย และชุมชนในการพัฒนาท้องถิ่น โดยเฉพาะในด้านการศึกษาที่มีคุณภาพและการส่งเสริมทักษะที่จำเป็นต่อการพัฒนาที่ยั่งยืนในชุมชน

ที่มา: กองกิจการนิสิต มหาวิทยาลัยนเรศวร

ม.นเรศวร ร่วมงานดนตรีไทยอุดมศึกษา ครั้งที่ 45 “สังคีตศิลป์สุนทรีย์ เทิดพระบารมีจอมราชัน”

มหาวิทยาลัยนเรศวร ได้ส่งนิสิตและบุคลากร เข้าร่วมงานดนตรีไทยอุดมศึกษา ครั้งที่ 45 “สังคีตศิลป์สุนทรีย์ เทิดพระบารมีจอมราชัน” ในระหว่างวันที่ 25 – 28 ธันวาคม 2565 ณ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ โดยมหาวิทยาลัยได้เข้าร่วมการบรรเลงดนตรีไทย จำนวน 3 รายการ ได้แก่ การบรรเลงดนตรีไทยวงเดี่ยวสถาบัน ในบทเพลง จีนเด็ดดอกไม้ เถา,การบรรเลงดนตรีไทยกลุ่มสถาบันอุดมศึกษาภาคเหนือ ในบทเพลง ลาวดวงดอกไม้ ออกซุ้ม และเข้าร่วมบรรเลงดนตรีไทยวงมหาดุริยางค์ ฝึกซ้อมการบรรเลงโดยผู้ช่วยศาสตราจารย์พรชัย ผลนิโครธ ,ผู้ช่วยศาสตราจารย์บุตตรี สุขปาน และอาจารย์ประชากร ศรีสาคร อาจารย์ประจำภาควิชาดุริยางคศาสตร์ไทย คณะมนุษยศาตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร อีกทั้งยังได้รับพระมหากรุณาธิคุณในสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงทอดพระเนตรการแสดงดนตรีไทย และร่วมบรรเลงดนตรีไทยวงมหาดุริยางค์ (ผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์) ในบทเพลงชื่นชุมนุมกลุ่มดนตรี และเพลงชุดนเรนทราทิตย์ (รายงานโดยนายณัฐพล ประดิษฐ์กุล นักวิชาการศึกษา กองกิจการนิสิต)

ที่มา: กองกิจการนิสิต มหาวิทยาลัยนเรศวร

ม.นเรศวร จัดประชุมจัดทำแผนงานและงบประมาณโครงการสร้างภูมิคุ้มกันและป้องกันยาเสพติด 2566

ดร.จารุวรรณ แดงบุบผา ผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายกิจการนิสิต เป็นประธานการประชุมจัดทำแผนงานและงบประมาณโครงการสร้างภูมิคุ้มกันและป้องกันยาเสพติดในสถาบันอุดมศึกษา ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 เมื่อวันพุธที่ 18 มกราคม 2566 ทั้งนี้ มีสถาบันอุดมศึกษาในเขตภาคเหนือตอนล่าง เข้าร่วมจำนวน 16 สถาบัน
—————————–
ณ ห้องประชุมเทาแสด อาคารศูนย์แสดงนิทรรศการ และการจัดประชุมสมเด็จพระนเรศวรมหาราชมหาวิทยาลัยนเรศวร
อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก

ที่มา: กองกิจการนิสิต มหาวิทยาลัยนเรศวร

ม.นเรศวร ร่วมกับเทศบาลนครพิษณุโลก จับมือ สสส. จัดกิจกรรมสุขกลางเมือง เรื่องแรงบันดาลใจในวัยเยาว์

วันนี้(16 ม.ค.)เทศบาลนครพิษณุโลก ร่วมกับกลุ่มลานละมุน สภาเด็กและเยาวชนเทศบาลนครพิษณุโลก เครือข่าย Young Phitsanulok Forum กลุ่มพิดโลกจัดเต็ม เครือข่ายสร้างเสริมสุขภาพเยาวชน (ขสย.) มูลนิธิเด็กเยาวชนและครอบครัว เครือข่ายองค์กรงดเหล้าภาคเหนือตอนล่าง มหาวิทยาลัยนเรศวร มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม วิทยาลัยอาชีวศึกษาพิษณุโลก วิทยาลัยเทคนิคพิษณุโลก สำนักงานสาธารณสุข จ.พิษณุโลก สรรพสามิตพื้นที่พิษณุโลก บ้านพักเด็กและครอบครัว จ.พิษณุโลก วัฒนธรรม จ.พิษณุโลก และสถานีตำรวจภูธรเมืองพิษณุโลก ร่วมจัดกิจกรรมเนื่องในโอกาสวันเด็กแห่งชาติประจำปี 2566 ภายใต้แนวคิด สุขกลางเมือง : เรื่องแรงบันดาลใจในวัยเยาว์ ภายใต้การสนับสนุนจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ภายในงานมีการแสดงจากกลุ่มเด็กเยาวชน การออกบูธกิจกรรม การแสดงจากศิลปิน และการเสวนาในหัวข้อ “เด็กไม่เคยเป็นผู้ใหญ่ ร่วมปลูกดอกไม้ให้เมืองสองแคว”

ดร.เปรมฤดี ชามพูนท นายเทศมนตรีนครพิษณุโลก กล่าวว่า เทศบาลนครพิษณุโลกเห็นความสำคัญของการสร้างพื้นที่ปลอดภัย สร้างสรรค์ ให้ประชาชนในพื้นที่ด้วยการผลักดันให้เกิดสวนสาธารณะ สวนสุขภาพถึงสามแห่งในเขตเทศบาล โดยหวังให้ประชาชนได้ใช้เป็นที่พักผ่อน ออกกำลัง และให้เด็ก เยาวชน ผู้สูงอายุ ผู้พิการได้ใช้เป็นสถานที่ทำกิจกรรมที่สนใจ

“เทศบาลในฐานะเป็นผู้ดูแล ผู้จัดการเมือง พยายามจัดการให้มีพื้นที่สำหรับคนทุกกลุ่ม การมีสวนสาธารณะเป็นทางเลือกแต่ไม่ใช่คำตอบทั้งหมด กลุ่มเด็กและเยาวชน เป็นอีกกลุ่มที่เราให้ความสนใจ ยอมรับว่าในช่วงแรกผู้ใหญ่อย่างเราไม่สามารถสื่อสารถึงความต้องการที่แท้จริงของเด็กได้ แต่หลังเกิดการมีสภาเด็กและเยาวชนเทศบาลนครพิษณุโลกทำให้เกิดการทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทำให้เทศบาลได้ทราบถึงความต้องการที่แท้จริงของเยาวชนทั้งเรื่องกีฬาเอ็กซ์ตรีม อีสปอร์ต คอสเพลย์ หรือกิจกรรมสร้างสรรค์อื่น ๆ ทำให้เทศบาลสามารถสนับสนุนทั้งพื้นที่ อุปกรณ์ หรือมีแนวนโยบายที่ตรงกับความต้องการของเยาวชนได้มากขึ้น” ดร.เปรมฤดี กล่าว

นายจักรภัทร ชูสกุลพัฒนา ผู้ประสานงานเยาวชน YSDN พิษณุโลก ตัวแทนคณะผู้จัดงาน กล่าวว่า ตนและเพื่อน ๆ อยากเห็นจังหวัดพิษณุโลกและทุกจังหวัดมีพื้นที่ที่เปิดโอกาสให้แด็ก เยาวชน ได้เข้าถึงและใช้ประโยชน์ มีพื้นที่ในการแสดงออกซึ่งความสามารถ ใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ และอยากให้ภาครัฐสนับสนุน การจัดกิจกรรมเนื่องในโอกาสวันเด็กแห่งชาติ ประจำปี 2566 ภายใต้ชื่องานสุขกลางเมือง : เรื่องแรงบันดาลใจในวัยเยาว์ มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในพื้นที่จังหวัดพิษณุโลกเพื่อส่งเสริมและพัฒนาเด็กและเยาวชน ส่งเสริมให้เกิดพื้นที่สร้างสรรค์ เกิดการเรียนรู้ในเด็กและเยาวชนจังหวัดพิษณุโลก ทั้งพื้นที่กายภาพ พื้นที่ความคิด พื้นที่สร้างสรรค์ และยั่งยืน โดยเหตุผลที่เลือกใช้สวนกลางเมืองพิษณุโลกเป็นสถานที่จัดงานเนื่องจากเป็นสวนสาธารณะที่เป็นสถานที่ห้ามดื่ม ห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และห้ามสูบบุหรี่ตามกฎหมาย มีความปลอดภัย

“ผู้ใหญ่ทุกภาคส่วนในสังคมควรจะปรับมุมมองที่ว่า หาเพชรในตม เพราะเราไม่จำเป็นต้องไปหาเพชรในตม เพียงแค่ปรับสภาพตมให้มีสภาพแวดล้อมที่ดี และตมก็จะสร้างเพชรขึ้นมาได้ ภายใต้ความเชื่อที่ว่า ถ้าสภาพแวดล้อมดี คนก็จะดีตามไปด้วย” นายจักรภัทร กล่าว

นางสาวศิวรินทร์ พูลวงษ์ (วรินทร์) ศิลปินแนวเพลงอินดี้ กล่าวว่าในฐานะที่ตนเป็นศิลปินรุ่นใหม่ และเป็นผู้ปกครองที่มีลูก อยากเห็นการมีพื้นที่ปลอดภัย และสร้างสรรค์แบบนี้เกิดขึ้นในทุกจังหวัด เพราะนอกจากจะเป็นพื้นที่ให้ทุกคนในครอบครัว สามารถทำกิจกรรมร่วมกันเกิดความสัมพันธ์ที่ดีในครอบครัวแล้ว ยังเป็นพื้นที่ที่ให้เด็กได้เรียนรู้การอยู่ร่วมกับคนอื่นในสังคมได้อย่างมีความสุข การได้ออกไปทำกิจกรรมดี ๆ ในพื้นที่ดี ๆ จะทำให้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ได้เรียนรู้ซึ่งกันและกัน

​ด้าน นางทิชา ณ นคร ผู้อำยวนการศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชน(ชาย)บ้านกาญจนาภิเษก และที่ปรึกษามูลนิธิเด็กเยาวชนและครอบครัว กล่าวว่า เด็กจำนวนมากในประเทศนี้อยู่ในครอบครัวที่ต้องดิ้นรนหาเลี้ยงชีพ ไม่มีเวลามากพอที่จะส่งเสริมให้เด็กได้มีทักษะชีวิตที่สามารถนำพาตัวเองให้รอดพ้นจากปัญหาสังคมที่เข้ามาคุกคามในหลายมิติ จึงเป็นหน้าที่ของรัฐบาล หน่วยงานภาครัฐ ที่ต้องส่งเสริมให้เกิดพื้นที่สร้างสรรค์ กิจกรรมสร้างสรรค์ ที่ทุกคนต้องเข้าถึงได้โดยง่าย

“เมื่อเด็กไม่เคยเป็นผู้ใหญ่มีก่อน จึงไม่สามารถที่จะจัดการหรือแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นกับตัวเองเหมือนอย่างที่ผู้ใหญ่อยากให้เป็นได้ และถึงแม้ผู้ใหญ่จะเคยเป็นเด็กมาก่อนก็ใช่ว่าจะสามารถแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นกับตัวเด็กได้ทุกเรื่อง การเปิดโอกาสให้เด็กได้เติบโตในสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการมีคุณภาพชีวิตที่ดี จึงเป็นเรื่องจำเป็นที่ทุกฝ่ายต้องให้ความสำคัญโดยเฉพาะรัฐบาล หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง หรือแม้แต่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีความใกล้ชิดกับประชาชนมากสุด” นางทิชา กล่าว

ที่มา: mgronline

Sustainability

NARESUAN UNIVERSITY

Solverwp- WordPress Theme and Plugin