ม.นเรศวร เปิดวิชชาลัยข้าวและชาวนา เพื่อเป็นแหล่งถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านการผลิตและแปรรูปข้าวอย่างยั่งยืน

วันเสาร์ที่ 24 มิถุนายน 2566 ศาสตราจารย์เกียรติคุณ ดร.นายแพทย์ประสิทธิ์ วัฒนาภา นายกสภามหาวิทยาลัย ประธานในพิธีเปิดวิชชาลัยข้าวและชาวนา มหาวิทยาลัยนเรศวร โดยมีรองศาสตราจารย์ ดร.ศรินทร์ทิพย์ แทนธานี รักษาราชการแทนอธิการบดี และคณะผู้บริหารมหาวิทยาลัยนเรศวรให้การต้อนรับ

วิชชาลัยข้าวและชาวนา มหาวิทยาลัยนเรศวร ก่อตั้งขึ้นในรูปแบบกิจกรรมการเรียนการสอน การวิจัย การบริการวิชาการ และการทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรมทางด้านข้าว โดยมีจุดกำเนิดในรูปแบบกิจกรรม “วิชชาลัยชาวนา” ตั้งแต่ พ.ศ. 2553 โดย ดร.ภาวัช วิจารัตน์ ดำเนินการวิจัยการปรับปรุงพันธุ์ข้าว การรวบรวมและอนุรักษ์พันธุกรรมข้าวพื้นเมือง การศึกษาคุณค่าทางโภชนาการและโภชนเภสัชสารในข้าว การฝึกอบรมและถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตข้าวปลอดภัย และการจัดการการผลิตตลอดห่วงโซ่อุปทานให้แก่ชาวนา การจัดทำแปลงสาธิตการผลิตข้าวสำหรับสอนนิสิตและเกษตรกร รวมทั้งการจัดกิจกรรมทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรมทางด้านข้าว

อีกทั้ง วิชชาลัยข้าวและชาวนามหาวิทยาลัยนเรศวรสำเร็จได้ด้วยความร่วมมือจาก นายธวัช สิงห์เดช นายกองค์การบริหาส่วนตำบลท่าโพธิ์ ประชาชนโดยรอบมหาวิทยาลัยและหน่วยงานต่างๆ ภายในมหาวิทยาลันเรศวร อาทิ สำนักงานอธิการบดี กองบริการวิชาการ กองอาคารสถานที่ และกองกลาง ที่จับมือทำงานร่วมกันในการขับเคลื่อนการจัดตั้งวิชชาลัยข้าวและชาวนาแห่งนี้จนสำเร็จลุล่วงได้ดี

ที่มา: งานประชาสัมพันธ์ มหาวิทยาลัยนเรศวร

ม.นเรศวร บริการน้ำดื่มฟรี

หอพักนิสิต มีจุดบริการน้ำดื่มฟรีที่ผ่านขั้นตอนการกรองน้ำอย่างมีคุณภาพ โดยมีการเปลี่ยนไส้กรองน้ำใหม่เพื่อสุขอนามัยของทุกคน ดื่มน้ำสะอาดพร้อมติดตั้งบนเครื่องทำน้ำร้อน น้ำเย็น เพื่อให้บริการแก่นิสิตในหอพักมหาวิทยาลัยนเรศวร

ทั้งนี้ มหาวิทยาลัยนเรศวรให้ความสำคัญต่อการบริการนิสิตในมหาวิทยาลัยนเรศวร โดยมีจุดบริการน้ำดื่มฟรีที่ถูกสุขอนามัย บริการทั้งในส่วนอาคารเรียนต่างๆ และหอพักนิสิต รวมถึงบุคลากร ให้เข้าถึงบริการน้ำดื่มที่สะอาด ปลอดภัยถูกหลักสุขอนามัยโดยไม่มีค่าใช้จ่าย

ที่มา: หอพักนิสิต มหาวิทยาลัยนเรศวร NU Dorm

ม.นเรศวร เข้าร่วมการสัมมนาพหุภาคี “สู้ชนะความจน”

วันจันทร์ที่ 26 มิถุนายน 2566 ศาสตราจารย์ ดร.จิรวัฒน์ พิระสันต์ และคณะทำงานโครงการวิจัยฯ เข้าร่วมการสัมมนาพหุภาคี “สู้ชนะความจน : บนฐานพลังความรู้ พลังภาคี” ภายใต้แผนงานแพลตฟอร์มขจัดความยากจนแบบเบ็ดเสร็จและแม่นยำระดับจังหวัดของหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) สำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยมีศาสตราจารย์ (พิเศษ) เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเป็นประธานในพิธีฯในการสัมมนาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานวิจัยและนำไปสู่การขับเคลื่อนขยายผลและกลยุทธ์การขับเคลื่อนพื้นที่จังหวัด SRA แบบบูรณาการ ณ ห้องวิภาวดีบอลรูม บี โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ เซ็นทรัลพลาซาลาดพร้าว กรุงเทพมหานคร

ที่มา: คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ ศิลปะและการออกแบบ มหาวิทยาลัยนเรศวร

ม.นเรศวร จัดโครงการการจัดการความรู้เสริมสร้างการเบิกจ่ายที่ถูกต้องและโปร่งใส

มหาวิทยาลัยนเรศวรได้ดำเนินโครงการการจัดการความรู้ภายในกองคลังเพื่อเสริมสร้างการเบิกจ่ายที่ถูกต้องและโปร่งใสในวันที่ 23 มิถุนายน 2566 ซึ่งจัดขึ้นสำหรับผู้ปฏิบัติงานด้านการเงินจากหน่วยงานต่าง ๆ ภายใต้สำนักงานอธิการบดี โดยมี คุณรุจิพัชญ์ ทวีชัยกิติพงษ์ ผู้อำนวยการกองคลัง เป็นประธานเปิดโครงการ

กิจกรรมนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์และเรียนรู้ปัญหาที่เกิดขึ้นจากการเบิกจ่าย รวมถึงแนวทางในการแก้ไข โดยมีวิทยากรผู้เชี่ยวชาญ ได้แก่ คุณนภารัตน์ นาอ่อน รักษาการหัวหน้างานการเงินจ่าย และคุณจารุณี พุทธิวิศิษฏ์ นักวิชาการเงินและบัญชีชำนาญการ ที่ได้ร่วมบรรยายและเสนอแนะแนวทางในการลดข้อผิดพลาด เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน และทำให้กระบวนการเบิกจ่ายราบรื่นและรวดเร็ว

การจัดกิจกรรมครั้งนี้ไม่เพียงแต่ช่วยให้ผู้เข้าร่วมได้เรียนรู้วิธีการทำงานที่มีประสิทธิภาพ แต่ยังส่งเสริมการดำเนินงานของมหาวิทยาลัยให้โปร่งใส และเป็นไปตามระเบียบที่กำหนด อีกทั้งยังช่วยเสริมสร้างความโปร่งใสในด้านการเงินของมหาวิทยาลัยได้อย่างยั่งยืน

ม.นเรศวรให้ความรู้ร่วมกับการใช้ motivation interviewing technique เพื่อการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดูแลตนเองในผู้ป่วยเบาหวาน

เมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2566 ผศ.พญ.ศรินยา สัทธานนท์ อาจารย์แพทย์ภาควิชาอายุรศาสตร์ และผู้รับผิดชอบโครงการฯ พญ.แพรว สุวรรณศรีสุข อาจารย์แพทย์ภาควิชาอายุรศาสตร์ กล่าวต้อนรับ ผู้เข้าร่วมโครงการให้ความรู้ร่วมกับการใช้ motivation interviewing technique เพื่อการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดูแลตนเองในผู้ป่วยเบาหวาน  ณ ห้องประชุม CC2-801 ชั้น 8 อาคารเฉลิมพระเกียรติ 7 รอบพระชนมพรรษา 2

    การจัดโครงการในครั้งนี้  ผู้เข้าร่วมประกอบด้วยผู้ป่วยเบาหวานจำนวน 50 คน กิจกรรม แบ่งเป็น 4 ฐานได้แก่ ฐานที่ 1 : เรื่องโรคเบาหวาน  ให้ความรู้ โดยทีมแพทย์ นำโดย ผศ.พญ.ศรินยา สัทธานนท์  อ.พญ.แพรว สุวรรณศรีสุข  และนิสิตแพทย์  ฐานที่ 2 : เรื่องการใช้เครื่องเจาะน้ำตาลชนิดพกพา โดยทีมพยาบาล  ฐานที่ 3 : เรื่องการใช้ยาฉีด Insulin  โดย ทีมเภสัชกร  ฐานที่ 4 : เรื่องโภชนาการอาหารสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน โดยทีมโภชนาการ การจัดโครงการในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้ป่วยมีความรู้ ความเข้าใจในการปฏิบัติตัวเมื่อเป็นโรคเบาหวาน สามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการดูแลตนเอง การใช้ยาให้เหมาะสม บริโภคอาหาร การตรวจน้ำตาลในเลือดด้วยตนเอง การดูแลเมื่อเกิดภาวะน้ำตาลต่ำ น้ำตาลสูง การดูแลเท้า ให้เหมาะสมเมื่อเป็นโรคเบาหวานได้ ผู้ป่วยสามารถควบคุมระดับน้ำตาลให้ตามเกณฑ์ ผู้ป่วยเบาหวานไม่เกิดภาวะแทรกซ้อนที่สำคัญ เช่น ภาวะน้ำตาลในเลือดสูงหรือต่ำกว่าปกติที่ต้องได้รับการรักษานอนโรงพยาบาล ภาวะแทรกซ้อนทางจอประสาทตาจากเบาหวาน ภาวะโรคไตวายจากเบาหวาน  การถูกตัดเท้าในผู้ป่วย เบาหวาน  เป็นต้น

ที่มา: คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร

ม.นเรศวร กับ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ลงนามความร่วมมือทางวิชาการเพื่อสร้างงานวิจัยที่มีผลกระทบสูงต่อสังคม

วันที่ 2 มิถุนายน 2566 ศาสตราจารย์ ดร. กรกนก อิงคนินันท์ รองอธิการบดีฝ่ายพัฒนางานวิจัยและนวัตกรรม มหาวิทยาลัยนเรศวร พร้อมด้วย ดร.ยุทธพงษ์ ทองพบ ผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายพัฒนางานวิจัยและนวัตกรรม ดร.จารุวรรณ แดงบุบผา ผู้ช่วยอธิการบดีด้านกิจการนิสิต และผู้อำนวยการสถานวิจัยเพื่อความเป็นเลิศด้านการจัดการการท่องเที่ยว คณะบริหารธุรกิจ เศรษฐศาสตร์และการสื่อสาร มหาวิทยาลัยนเรศวร พร้อมคณะ ให้การต้อนรับ ศาสตราจารย์ นายแพทย์ ดร.นรินทร์ หิรัญสุทธิกุล รองอธิการบดีด้านการติดตามและประเมินผลยุทธศาสตร์แผน การงบประมาณ และสุขภาวะ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย รองศาสตราจารย์ เภสัชกร ดร.วิทยา กุลสมบูรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานแผนงาน C2F จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ณัฐพงศ์ พันธ์น้อย ผู้ช่วยคณบดี คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ และรองผู้อำนวยการ หน่วยปฏิบัติการวิจัยด้านการออกแบบเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจสร้างสรรค์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พร้อมคณะ

โดยได้รับเกียรติจาก นายทรงพล วิชัยขัทคะ รองผู้ว่าราชการจังหวัดพิษณุโลก นางปริษา ปานพรหม ท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดพิษณุโลก นางสาวนิภาวรรณ กาญจนพิทักษ์ วัฒนธรรมจังหวัดพิษณุโลก พร้อมด้วยทีมบริหาร คณาจารย์ นักวิจัย และบุคลากรของทั้งสองสถาบัน ร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามความร่วมมือ บันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการ เรื่องความร่วมมือในการสร้างงานวิจัยที่มีผลกระทบสูงต่อสังคม ระหว่าง มหาวิทยาลัยนเรศวร กับ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อร่วมแลกเปลี่ยนและสนับสนุนด้านการวิจัยและวิชาการ การผลิตผลงานวิจัยที่มีผลกระทบสูงต่อสังคม ซึ่งมีขอบเขตความร่วมมือ ประกอบด้วย

1. ร่วมกันส่งเสริม และสนับสนุนการดำเนินการให้เกิดความร่วมมืองานวิจัยและวิชาการ มุ่งพัฒนาศักยภาพของชุมชน สร้างเครือข่ายความร่วมมือกับภาคส่วนต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อขยายการใช้ประโยชน์ผลงานวิจัยให้มีผลกระทบสูงต่อสังคม

2. ร่วมกันเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารและการประชาสัมพันธ์ด้านการวิจัยและด้านวิชาการ รวมถึงกิจกรรมอื่นๆ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถทางการวิจัย และด้านการส่งเสริมกิจกรรมที่สนับสนุนการพัฒนาพื้นที่

พร้อมกันนี้ ได้จัดให้มีการเสวนาวิชาการ ในหัวข้อ “ความสัมพันธ์ระหว่างมหาวิทยาลัยกับเมืองเพื่อการรับมือความท้าทายใหม่” ซึ่งได้รับเกียรติจากผู้ทรงคุณวุฒิร่วมบรรยาย 4 ท่าน จาก 4 มหาวิทยาลัย ได้แก่ Kyushu University, Japan / Kainan University, Taiwan / จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ มหาวิทยาลัยนเรศวร

ณ ห้องประชุมเทาแสด ศูนย์แสดงนิทรรศการและการจัดประชุมนานาชาติสมเด็จพระนเรศวรมหาราช (KNECC) มหาวิทยาลัยนเรศวร จ.พิษณุโลก

ที่มา: กองการวิจัยและนวัตกรรม มหาวิทยาลัยนเรศวร

คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร ออกให้บริการทางทันตกรรมให้กับประชาชนทั่วไป

วันที่ 15 มิถุนายน 2566 หน่วยทันตกรรมพระราชทานในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร ออกให้บริการทางทันตกรรม ให้กับประชาชนทั่วไป จำนวน 120 ราย โดยแบ่งเป็น อุดฟัน 44 ราย ขูดหินปูน 48 ราย ถอนฟัน 23 ราย และ ผ่าฟันคุด 5 ราย ณ วิทยาลัยชุมชนพิจิตร อำเภอโพทะเล จังหวัดพิจิตร

ม.นเรศวร บริการวิชาการให้ความรู้สู่ชุมชนแก่มารดาหลังคลอด เรื่อง การดูแลมารดาหลังคลอดและการคุมกำเนิด

ภาควิชาสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา มีภารกิจด้านการเรียนการสอนและให้บริการดูแลรักษาสตรีตั้งครรภ์ ตั้งแต่ระยะก่อนคลอด ระยะคลอดและหลังคลอด ซึ่งการจัดการเรียนการสอน รายวิชาสุขภาพและโรคของสตรี 1-2 สำหรับนิสิตแพทย์ชั้นปี 4 ได้จัดกิจกรรมบริการวิชาการให้ความรู้สู่ชุมชน โดยให้นิสิตแพทย์ชั้นปีที่ 4 ให้ความรู้แก่มารดาหลังคลอด เรื่อง การดูแลมารดาหลังคลอดและการคุมกำเนิด เมื่อวันพุธที่ 14 มิถุนายน 2566 เวลา 09.00 น. – 11.00 น. ณ หอผู้ป่วยสูติและนรีเวชกรรม ชั้น 6 อาคารเฉลิมพระเกียรติ 7 รอบ พระชนมพรรษา 1 โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยนเรศวร

ที่มา: คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร

ม.นเรศวร ร่วมจัดนิทรรศการ “วันสิ่งแวดล้อมโลก” ตามแนวทางการพัฒนา BCG Model จังหวัดพิษณุโลก

เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2566 รองศาสตราจารย์ ดร.ภาณุ พุทธวงศ์ รองอธิการบดีฝ่ายบริหาร มหาวิทยาลัยนเรศวร ร่วมเป็นเกียรติในงาน Environmental Day ตามแนวทางการพัฒนา BCG Model จังหวัดพิษณุโลก เนื่องจากเป็นวันสำคัญด้านสิ่งแวดล้อมของโลก คือ ตรงกับวันที่ 5 มิถุนายน ของทุกปี โดยภาคีเครือข่ายการจัดการขยะมูลฝอยและสิ่งแวดล้อม จังหวัดพิษณุโลก จำนวนทั้งสิ้น 17 แห่ง ประกอบด้วย ภาคีเครือข่ายหน่วยงานราชการ จำนวน 5 หน่วยงาน ภาคีเครือข่าย องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จำนวน 6 แห่ง ภาคีเครือข่ายสถาบันการศึกษา จำนวน 2 แห่ง ภาคีเครือข่ายภาคเอกชนและรัฐวิสาหกิจ จำนวน 4 แห่ง โดยในงานเป็นการนำเสนอรูปแบบ หรือวิธีการบริหารจัดการขยะมูลฝอยตั้งแต่ต้นทาง กลางทาง และปลายทาง รวมทั้งการนำขยะมูลฝอยมาใช้ประโยชน์อย่างครบวงจร และการ จัดการสิ่งแวดล้อม ด้วยเทคนิค วิธีการที่เหมาะสมกับบริบทในแต่ละหน่วยงาน โดยมี วัตถุประสงค์เพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และถ่ายทอดหรือขยายผลรูปแบบ หรือ วิธีการบริหารจัดการขยะมูลฝอยและสิ่งแวดล้อมสู่สาธารณะ เพื่อการขยายผลสู่การปฏิบัติ ในพื้นที่จังหวัดพิษณุโลกให้เกิดผลสำเร็จตามเป้าหมาย “พิษณุโลก เมืองใช้ประโยชน์จากขยะ” (Phitsanulok The City of Recycling)

พร้อมนี้ มหาวิทยาลัยนเรศวรได้ร่วมลงนามความร่วมมือ “ภาคีเครือข่ายการจัดการขยะมูลฝอยและสิ่งแวดล้อม จังหวัดพิษณุโลก” ตามกรอบการพัฒนาเศรษฐกิจหมุนเวียนภายใต้ BCG Model โดยมีนายภูษิต สมจิตต์ ผู้ว่าราชการจังหวัดพิษณุโลก เป็นประธานพิธีลงนามความร่วมมือ และผู้บริหารหน่วยงาน/องค์กร ที่ร่วมลงนามความร่วมมือ ประกอบด้วย ประกอบด้วย หน่วยงานภาครัฐ 5 หน่วยงาน สถาบันการศึกษา 2 แห่ง องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 6 แห่ง และภาคเอกชน/รัฐวิสาหกิจ 4 แห่ง รวมทั้งสิ้น 17 หน่วยงาน/องค์กร เพื่อดำเนินการศึกษาวิจัย สร้างความร่วมมือ และสนับสนุนด้านวิชาการ หรือต่อยอด การดำเนินงานการบริหารจัดการขยะอย่างครบวงจรตั้งแต่ต้นทาง กลางทาง และ ปลายทาง ให้กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และภาคส่วนต่างๆ รวมทั้งการปรับใช้ หลักการพัฒนาเศรษฐกิจแนวใหม่ (BCG Model) ในสาขา หรือด้านอื่นๆ ต่อไป และจัดกิจกรรม หรือสนับสนุนการจัดกิจกรรมประชาสัมพันธ์ผลงานด้านวิชาการที่ เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการขยะอย่างครบวงจรตั้งแต่ต้นทาง กลางทาง และ ปลายทาง รวมทั้งการพัฒนาเศรษฐกิจแนวใหม่ (BCG Model) ในสาขา หรือด้านอื่นๆ ณ ลานวงเวียนประตู 1-6 ศูนย์การค้าเซ็นทรัล พิษณุโลก

ภายในงานจัดให้มีกิจกรรมเรียนรู้/นิทรรศการ
1. ฐานกิจกรรมการจัดการและการใช้ประโยชน์จากขยะมูลฝอยและสิ่งแวดล้อม ตลาด นัด และ Recycle Station ที่ดำเนินการโดยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สถาบันการศึกษาและเครือข่ายชุมชน และภาคเอกชน จำนวน 8 บูท โดยมหาวิทยาลัยนเรศวร นำเสนอความรู้/ต้นแบบการจัดทำระบบข้อมูล GIS ที่ เกี่ยวกับพื้นที่เผาขยะและมลพิษจากการเผาในพื้นที่ และเทคโนโลยีที่ช่วยเพิ่ม มูลค่าขยะ เศษวัสดุทางการเกษตร และพลังงานทดแทน
2. ฐานกิจกรรมการคัดแยกขยะและการนำขยะเป็นเชื้อเพลิงพลังงาน โดย บริษัท วงษ์ พาณิชย์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด และ บริษัท โคลเวอร์พิจิตร (CPX) จำกัด
3. ฐานกิจกรรม Organic Garden โดย มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม และ เครือข่ายชุมชน/องค์กรเอกชน
4. ฐานกิจกรรมสร้างการมีส่วนร่วม ในการเรียนรู้การจัดการและการใช้ประโยชน์จาก ขยะมูลฝอยและสิ่งแวดล้อม ของประชาชนทั่วไปที่มาใช้บริการ ณ ศูนย์การค้า เซ็นทรัล พิษณุโลก และผู้มาร่วมงาน โดย ทีมงานของศูนย์การค้าเซ็นทรัล พิษณุโลก บริษัท วงษ์พาณิชย์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุม มลพิษที่ 3 และสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดพิษณุโลก

ที่มา: งานประชาสัมพันธ์ มหาวิทยาลัยนเรศวร

ม.นเรศวร ร่วมเวทีหาความร่วมมือเฝ้าระวังผลกระทบมลพิษข้ามแดน จ.น่าน จัดโดย สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.)

ทุก ๆ ปี ประเทศไทยเผชิญมลพิษทางอากาศจากหลายปัจจัย อาทิ ฝุ่นการก่อสร้างและโรงงานอุตสาหกรรม ควันท่อไอเสียรถยนต์ ไฟป่า หรือการเผาเศษวัสดุทางการเกษตร  ซึ่งหน่วยงานภาครัฐพยายามออกมาตราการต่าง ๆ ในการแก้ปัญหา แต่สำหรับมลพิษข้ามพรมแดน จากการเผาหรืออุตสาหกรรมอย่างโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ ยังไม่มีกฎหมายรองรับระหว่างประเทศ ฉะนั้น เมื่อไหร่กระแสลมเปลี่ยนทิศก็จะพัดฝุ่นละอองฟุ้งกระจายเข้าไปซ้ำเติมมลพิษทางอากาศในประเทศไทยให้เพิ่มสูงขึ้นกระทบกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างช้า ๆ ต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อมซึ่งเป็นห่วงโซ่อาหารสำคัญของประชาชนที่อาศัยใกล้แหล่งกำเนิดมลพิษ ยิ่งโดยเฉพาะ ต.ขุนน่าน และต.ห้วยโก๋น อ.เฉลิมพระเกียรติ จ.น่าน พื้นที่ใกล้โรงไฟฟ้าหงสา สปป.ลาว เริ่มสังเกตเห็นความผิดปกติทางการเกษตรไม่ได้ผลผลิตเท่าที่ควร เรื่องนี้ถูกพูดถึงกับในกลุ่มชาวบ้าน และต้องการหาคำตอบ

สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) จึงได้สนับสนุนการจัดทำโครงการ “การพัฒนาระบบเฝ้าระวังผลกระทบทางสุขภาพโดยชุมชน จังหวัดน่าน ประเทศไทย กรณีมลพิษข้ามพรมแดนจากโรงไฟฟ้าถ่านหินหงสา สปป. ลาว ภายใต้ชุดโครงการวิจัยเดียวกันนี้ มีการทำงานเชิงข้อมูลกับคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร, คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้า ธนบุรี, มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ และสำนักเครือข่ายและการมีส่วนร่วมสาธารณะ ไทยพีบีเอส โดยเมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2566 ร่วมกันเปิดเวทีเพื่อนำเสนอข้อมูลผลกระทบการศึกษา และหารือความร่วมมือกับภาคประชาชนสังคมน่าน ในการเฝ้าระวังผลกระทบทางสุขภาพจากมลพิษข้ามแดน ณ ศูนย์การเรียนรู้และบริการวิชาการเครือข่ายแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ตำบลผาสิงห์ อำเภอเมือง จังหวัดน่าน นอกจากชาวบ้าน คุณครูในพื้นที่ต.ห้วยโก๋น และต.ขุนน่าน ภาคประชาสังคมในน่าน ยังมีคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เข้าร่วมรับฟังและร่วมเสนอเเนวทางการเฝ้าระวัง

รศ.ดร.ธนพล เพ็ญรัตน์ นักวิชาการนักวิจัยทางด้านสิ่งแวดล้อม คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร เล่าถึงความคืบหน้าของผลการติดตามจากระบบเฝ้าระวัง จากการตรวจวัด

รศ.ดร.ธนพล เพ็ญรัตน์ นักวิชาการนักวิจัยทางด้านสิ่งแวดล้อม คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร

“งานวิจัยที่เราทำที่น่านเริ่มจากประชาชนมีข้อสงสัยและมีความกังวลจากประสบการณ์ที่เขาสังเกตเห็นว่าตั้งแต่มีการตั้งโรงไฟฟ้าที่อยู่ในประเทศเพื่อนบ้าน เขารู้สึกว่าตัวพืชผลทางการเกษตรของเขา เริ่มมีอาการผิดปกติ ที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อนในช่วงก่อนหน้านี้ เช่นอาการพืชมีลักษณะใบไหม้เพิ่มมากขึ้น ข้าวเม็ดรีบ พืชผลทางการเกษตรผลผลิตตกต่ำกว่าที่เคย ชาวบ้านจึงมีความสงสัยว่าจะเกี่ยวข้องกับมลพิษที่มาข้ามพรมแดนหรือไม่”

ประชาชนในพื้นที่ยังอิงกับระบบนิเวศค่อนข้างเยอะ มีการจับปลาในพื้นที่มากิน เขาจึงก็มีความกังวลว่าถ้ามีแหล่งปลดปล่อยมลพิษอยู่ในประเทศเพื่อนบ้าน แล้วมลพิษข้ามพรมแดนมานั้นจะเกิดการตกสะสมของสารพิษในปลาที่พวกเขาบริโภคหรือไม่ งานวิจัยเราจึงเริ่มจากตรงนี้เพื่อตอบความสงสัยของประชาชนด้วยหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ สิ่งแรกที่เราทำก็คือ ทำแบบจำลองคอมพิวเตอร์ว่าถ้ามีมลพิษปลดปล่อยมาจากแหล่งกำเนิดที่อยู่ในประเทศเพื่อนบ้าน ข้ามพรมแดนมากับลมมาตกสะสมในชายแดนของจังหวัดน่าน จะมีการตกลงพื้นที่ตรงไหนอย่างไรบ้าง จึงเกิดตัวแผนที่ความเสี่ยงออกมาว่ามลพิษที่ถูกปลดปล่อยออกมาจะไปตกอยู่บริเวณไหน จากนั้นเราก็ทำการเข้าไปเก็บตัวอย่างเพื่อทำการตรวจวัดตัวชี้วัดสำคัญที่เกี่ยวข้องกับมลพิษที่ตกสะสม อย่างเช่น 

ก๊าซกรด ที่ปลดปล่อยออกมาจากตัวโรงไฟฟ้า ก็จะดูว่ามีการตกสะสมของกรดในพื้นที่เกษตรกรรมหรือไม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพื้นที่ที่ประชาชนพบว่าพืชผลเสียหายผิดปกติ เราจึงทำการเก็บตัวอย่างวัดความเป็นกรดเป็นด่างของดินในพื้นที่ 

การเก็บตัวปลา เพื่อดูว่ามีปรอทซึ่งเป็นมลพิษข้ามพรมแดนที่ออกมาจากโรงไฟฟ้าได้ ตกสะสมในระดับที่นัยยะสำคัญหรือไม่ เราก็ตามไปถึงว่าแล้วประชาชนที่บริโภคปลา มีการสะสมของปรอทในเส้นผมหรือไม่ ดูตัวชี้วัดทางชีวภาพตั้งแต่การตกสะสมในระบบนิเวศ ร่วมไปถึงการตกสะสมในอาหารของมนุษย์ และที่สะสมในตัวของมนุษย์

พบว่าเมื่อทำการเก็บตัวอย่างตามที่แผนที่ความเสี่ยงชี้มา พบว่าหลายบริเวณที่แบบจำลองคอมพิวเตอร์คาดการณ์ว่าจะมีการตกกระทบของกรดในระดับที่สามารถเกิดผลกระทบได้ พบว่ามีดินที่มีความเป็นกรดเพิ่มมากขึ้นสอดคล้องกับแบบจำลองแผนที่ความเสี่ยง

การเก็บตัวอย่างปลา ตามจุดที่แบบจำลองเราคาดการณ์ว่าน่าจะมีปรอทตกสะสม ก็พบว่าในเนื้อปลามีปรอทสะสมอยู่ และในเส้นผมของคนที่อาศัยในบริเวณที่มีปรอทสะสมเนื้อปลา ก็พบว่ามีปรอทสะสมในเส้นผมของคนในระดับที่สูงขึ้นด้วย ซึ่งสอดคล้องทางสถิติทั้งผลกระทบจากก๊าซกรดที่ตกสะสมลงในพื้นที่ ก๊าซกรดกับประสบการณ์ของคนของเกษตรกรในพื้นที่ ที่บอกว่าพืชผลทางการเกษตรเสียหายมีความสอดคล้องกัน แล้วก็ปรอทที่สะสมในปลา ปรอทที่พบในเส้นผมของคน ก็สอดคล้องกับแผนที่ความเสี่ยงที่มีการตกสะสม เราเลยสรุปว่าน่าจะมีมลพิษ ที่ถูกปลดปล่อยจสกประเทศเพื่อนบ้านข้ามพรมแดนเข้ามานั้น เริ่มตกลงมาสะสมลงในพื้นที่ของจังหวัดน่านแล้ว แต่ยังไม่อยู่ในระดับที่เป็นอันตราย แต่ค่ามลพิษที่เพิ่มขึ้นจากค่าตามธรรมชาติประมาณ 5 เท่าในปัจจุบัน ซึ่งมลพิษเหล่านี้เป็นมลพิษที่สะสม เพราะฉะนั้นถ้ามีการประกอบกิจการอย่างต่อเนื่องโดยที่ไม่ได้ลดการปล่อยตัวมลพิษ ก็อาจจะมีการสะสมถึงระดับที่ทำให้เกิดผลกระทบเสียหายต่อทรัพยากรธรรมชาติและสุขภาพของคนในชุมชนได้

วิจัยเราต้องการชี้เห็นมีว่าปัญหาเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยะสำคัญ ต้องมีการทำงานร่วมกันของภาคประชาชน นักวิชาการ หน่วยงานภาครัฐ และภาคเอกชน ที่เป็นผู้ปล่อยมลพิษ ต้องควบคุมการปล่อยมลพิษ เพื่อป้องกันปัญหาเหล่านี้ไม่ให้ถึงในระดับที่ก่อให้เกิดผลกระทบรุนแรง ซึ่งตอนนี้ยังสามารถแก้ปัญหาได้เพราะพึ่งเริ่มเกิดขึ้น ถ้าเรายอมรับปัญหาร่วมกันและมีการเฝ้าระวังอย่างเป็นระบบ มีการชี้ให้เห็นว่าต้องลดการปลดปล่อยอย่างไร ต้องฟื้นฟูธรรมชาติอย่างไร ปัญหาเหล่านี่ ที่มีมูลค่าเป็นพันล้านบาท ตาทที่เราประเมินใน 30 ปีสามารถป้องกันได้ 

ผลกระทบทางการเกษตรเป็นการประเมินที่เรียกว่า Worst case scenario ประเมินแบบกรณีเลวร้ายที่สุด ที่อิงถึงความเสียหายที่เพิ่งเกิดขึ้นในช่วงประมาณ 5 ปีที่ผ่านมา จากการสอบถามชาวบ้านว่าผลผลิตเขาลดลงตกต่ำอย่างไร เราก็จะเอาความเสียหายตรงนั้นมาคูณ แล้วก็คำนวณขยายไปในพื้นที่ทั้งหมดที่กรดสามารถตกสะสมได้  แล้วพบว่าความเสียหายประมาณ 800 กว่าล้านบาทได้ใน 30 ปี ถ้าไม่ดำเนินการ ความเสียหายระดับนี่จะเกิดขึ้นกับภาคประชาชนได้โดยที่ประชาชนเองก็จะมีความสงสัยอยู่ตลอดว่าเกิดอะไรขึ้นทำไมผลผลิตเสียหาย ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากมลพิษข้ามพรมแดน แม้ว่าความเสียหายจะ 800 ล้านบาท แต่มันคือความเสียหายที่เราคาดการณ์ว่าในอีก 30 ปีซึ่งสามารถป้องกันได้ ถ้าเรายอมรับปัญหาและลดการปล่อยตัวมลพิษที่แหล่งกำเนิด เราจะสามารถทำให้ความเสียหายนั้นไม่เกิดหรือว่าลดน้อยลงที่สุดที่เป็นไปได้

ในระยะที่ 2 เราจะทำการพัฒนาเครื่องมือที่ให้ชุมชนสามารถเก็บตัวอย่างได้และชุมชนที่เก็บตัวอย่างที่เห็นความผิดปกติในพื้นที่ ทำงานกับนักวิจัยแล้วประเมินผลว่าเกี่ยวข้องกับมลพิษใหม่หรือไม่ ส่งตัวอย่างมาตรวจในวิเคราะห์เพิ่มมากขึ้นในห้องปฏิบัติการ ที่ผ่านมาเราพัฒนาร่วมกับชุมชนเป็นหลักแต่ว่าการจะป้องกันปัญหาการที่จะทำให้ปัญหาเหล่านี้ไม่เกิด และลดผลกระทบพันล้านให้ได้ ต้องมีหลายภาคส่วนเข้ามาเกี่ยวข้อง หนึ่งในนั้นก็คือหน่วยงานภาครัฐ ซึ่งมีหน้าที่โดยตรงอยู่แล้วในการป้องกันไม่ให้ผลกระทบเกิด กับภาคเอกชนที่เป็นผู้ปลดปล่อยมลพิษ เพราะเป็นคนที่สามารถบอกได้ว่าเราสามารถลดการปล่อยจากปลายป่องได้ เพื่อให้ผลกระทบเหล่านี้ไม่เกิด เพราะฉะนั้นในโครงการในระยะต่อไป คือ 

1. เราจะทำให้ภาคประชาสังคมเข้มแข็งเพิ่มมากขึ้นโดยการขยายจำนวนคนที่เข้ามาใช้ฐานข้อมูลเก็บตัวอย่างรายงานผลกระทบจากสิ่งที่ตัวเองสังเกตเห็นในพื้นที่ตัวเองมากขึ้น ก็คือสร้างเดต้าให้เป็นบิ๊กเดต้ามากขึ้น 

2. จะทำอย่างไรให้หน่วยงานรัฐที่ต้องทำงานรับใช้ประชาชนอยู่แล้วมาอิงข้อมูลตรงนี้ เพราะว่าประชาชนได้เห็นผลกระทบที่เกิดขึ้น รายงานผ่านตัวแอพพลิเคชั่น c-site บันทึกไว้ในฐานข้อมูลแล้ว จะทำอย่างไรให้งานภาครัฐเชื่อมกับฐานข้อมูลนี้ เหมือนที่ภาควิชาการเชื่อมภาคประชาชน ให้หน่วยงานรัฐเข้ามาทำงานร่วมกันเป็น 3 ภาคส่วน 

3. หน่วยงานรัฐต้องช่วยในการวางกลไกในการทำให้ลดการปล่อยมลพิษข้ามพรมแดนซึ่งต้องดึงภาคเอกชนเข้ามาต้องทำให้ผู้ก่อให้เกิดมลพิษนะครับยอมรับในกระบวนการเห็นด้วยกับกระบวนการและเห็นว่ากระบวนการนี้เป็นกระบวนการสร้างสรรค์ คือไม่ได้มาเพื่อปิดโรงไฟฟ้า ไม่ได้มาเพื่อทำให้เขาเสียหายนะ แต่มาเพื่อช่วยเขาในการป้องกันความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นในอนาคต 

ผศ.ดร.ว่าน วิริยา ผู้ช่วยหัวหน้าศูนย์วิจัยวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

ขณะที่ ผศ.ดร.ว่าน วิริยา ผู้ช่วยหัวหน้าศูนย์วิจัยวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เฝ้าระวังจากตรวจวัด เล่าว่า เราเก็บตัวอย่างทางด้านอากาศ น้ำฝน และน้ำผิวดิน ส่วนทางด้านชีวภาพเราจะเก็บไลเคนและเปลือกไม้ที่นำจะไปตรวจสารเคมี ข้อค้นพบของเราอันดับแรก คือทางด้านเคมีของอาทางด้านอากาศและด้านชีวภาพที่ชี้ไปในทางเดียวกัน คือน่าจะมีแหล่งกำเนิดของมลพิษทางอากาศมาจากแหล่งเดียวกัน แต่ยังไม่ทราบแน่ชัดว่าเป็นแหล่งไหน เราระบุได้จากสารเคมีบางตัว อย่างเช่น ตัวโลหะหนัก แมงกานีส งานวิจัยระบุว่ามาจากแหล่งกำเนิด คือ 1. ฝุ่นถนน 2. โรงไฟฟ้าถ่านหิน 3. การจราจร 3 แหล่งนี้เป็นแหล่งของมลพิษทางอากาศ แต่เรายังไม่สามารถระบุสัดส่วนว่ามีปริมาณมากน้อยเท่าไหร่ แต่เรารู้ว่ามาจาก 3 แหล่งนี้

เราทำการเก็บตัวอย่างโดยใช้สารเคมีในการตรวจวัดอย่างเช่น

  • อากาศเราวัดฝุ่น PM 2.5 ในลักษณะเรียลไทม์โดยเราใช้โลว์คอสเซ็นเซอร์ติดตั้งในหมู่บ้านต่าง ๆ ติดตามตรวจสอบ 9 พื้นที่ เก็บตัวอย่างของ PM 2.5 แบบเรียลไทม์ และเก็บฝุ่นตัวอย่างที่เป็นฝุ่นจริง ๆ โดยใส่ตัวฟิลเตอร์แล้วนำไปวิเคราะห์ว่าในฝุ่นนั้น มีไอออนขนาดไหน มีโลหะหนักกี่ชนิด และมีปริมาณมากน้อยเท่าไร ซึ่งจะสามารบ่งบอกถึงที่มาของฝุ่นได้ว่า เพราะฝุ่นมาจากอะไร เกิดจากที่ไหนจะสามารถระบุเหมือนเป็นรอยนิ้วมือ 
  • ก๊าซ เราใช้ Test kit ที่เราออกแบบและปรับปรุงพัฒนาขึ้นมาจากอันเดิม ซึ่งเพิ่งสามารถใช้งานได้ง่ายนักเรียนและครู สามารถใช้งานได้ ตัวเทสคิดเราตรวจสอบติดตามตรวจสอบ ไนโตรเจนไดออกไซด์(NO2) ซึ่งเป็นแหล่งที่มาของการเผาไหม้ ทั้งจากการจราจรทั้งจากโรงไฟฟ้าและแหล่งอื่น ๆ ซึ่งตัวนี้ก็จะเป็นการติดตามตรวจสอบอย่างง่ายที่สามารถใช้งานได้
  • ฝน ตัวอย่างน้ำฝนเราให้เจ้าหน้าที่เก็บและโรงเรียนเป็นคนเก็บเพื่อนำมาวิเคราะห์ ไอออน ที่ละลายในน้ำตรวจสอบค่าพีเอช ค่าอีซี เพื่อดูว่าเป็นฝนกรดหรือไม่ มีมลพิษปลอมปนมาหรือเปล่า อย่างเช่นไนโตรเจนไดออกไซด์ ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ มีปนมาหรือไม่
  • น้ำผิวดิน เก็บตัวอย่างจากแหล่งน้ำต่าง ๆ ที่มีในหมู่บ้าน เก็บแหล่งน้ำที่มันที่ชาวบ้านใช้งานในชีวิตประจำวันนำไปตรวจสอบค่าอีซี ค่าพีเอช โลหะหนัก เพื่อนำมาวิเคราะห์
  • ส่วนชีวภาพนั้นเราทำการตรวจสอบไรเคน ตัวไรเคนจะมีหลายชนิดมาก ทั้งทนต่อมลพิษทางอากาศและไม่ทนต่อมลพิษทางอากาศซึ่งจะเป็นตัวบ่งชี้ถึงคุณภาพอากาศ และเก็บตัวอย่างอื่น ๆ เช่นเก็บเปลือกไม้ มาตรวจดูว่ามีการสะสมของโลหะหนักหรือไม่ อันนี้ก็เป็นกระบวนการทางเคมีที่ตรวจสอบมลพิษที่อยู่ในอากาศ และเคมีที่ตรวจสอบทางชีวภาพ

ระยะที่ 2 อันเดิมเราก็ยังทำอยู่เพื่อเป็นข้อมูล Baseline อีกรอบหนึ่ง เพราะว่าเราจะเก็บให้มันสมบูรณ์มากขึ้น แต่ว่าอันที่เราเก็บเพิ่มขึ้นในระยะที่ 2 คือ 1.เราจะเก็บตัวอย่างเพื่อนำไปวิเคราะห์สารอีกกลุ่มหนึ่ง ก็คือสารก่อมะเร็ง สารก่อมะเร็งชนิดนี้จะอยู่ในฝุ่น 2. เราจะเก็บตัวอย่างจากมนุษย์ คือเก็บตัวอย่างจากปัสสวะ ว่ามีการตกค้างในมนุษย์หรือไม่ โดยสารกลุ่มที่จะบ่งบอกว่ามีการสะสมของสารก่อมะเร็งเกิดขึ้น มาจากการรับสัมผัสฝุ่นละออง pm2.5 หรือไม่ จะเป้นส่วนที่ทำเพิ่มขึ้น

อีกอย่างคือ ตัวติดตามตรวจสอบ pm 2.5 หรือว่าเครื่องโลว์คอสเซ็นเซอร์ เราจะมีการบูรณาการเพิ่มจำนวนมากขึ้นและจะนำไปติดตั้งในประเทศเพื่อนบ้าน ก็คือประเทศลาว และเราจะมีการทำงานร่วมกับสำนักงานควบคุมโรคและกรมอนามัย ที่มาร่วมทำในของเรื่องสุขภาพ หาแนวทางและการป้องกันในการระวังเฝ้าระวัง สภาวะสุขภาพ และหน่วยงานภาครัฐอย่างสาธารณสุขมาช่วยเพื่อขยายองค์ความรู้แล้วก็ขยายการเฝ้าระวังให้มากขึ้นเพื่อให้ชุมชนได้ตื่นตัวมากขึ้น

โดยเวทีในครั้งนี้มีคุณศยามล ไกยูรวงศ์ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เพื่อร่วมพูดคุยแลกเปลี่ยนกับชาวบ้านถึงผลกระทบของมลพิษจากโรงไฟฟ้าถ่านหินหงสา และผลกระทบต่อพืชผลการเกษตรของชาวบ้าน เพื่อหาแนวทางแก้ไขปัญหาต่อไป  

ศยามล ไกยูรวงศ์ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ

จากผลวิจัยทำให้ได้รับรู้ว่ามันมีผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อสิ่งมีชีวิตแล้วก็ต่อสุขภาพ ทั้งในเรื่องปลาที่อยู่ในต้นน้ำของบ้านน้ำรีที่มีค่าปรอทสูง ส่งผลกระทบต่อพืชและต่อสุขภาพของคนในพื้นที่ ที่มีโอกาสที่จะเป็นโรคทางเดินหายใจ โรคภูมิแพ้ หรือเป็นมะเร็ง แม้ยังไม่พบผู้ป่วยสูงมากก็ตาม จากข้อมูลของนักวิจัยที่มีการติดตั้งเซ็นเซอร์ตรวจวัดและมีทิศทางลมพัดที่มาจากตัวโรงไฟฟ้าเข้ามาที่บ้านน้ำรีและบ้านน้ำช้าง ในอำเภอเฉลิมพระเกียรติ ซึ่งมันก็มีความเป็นไปได้ว่าในช่วงของเดือนปลายเดือนตุลาคมถึงเดือนกุมภาพันธ์ ก็มีความเสี่ยงสูงที่จะได้รับผลกระทบจากฝุ่นละอองและสารปรอท ซึ่งอันนี้เป็นภาพรวมของผลกระทบที่มีการตั้งโรงไฟฟ้า และเมื่อได้ฟังจากคนในพื้นที่คิดว่า ผลกระทบที่เกิดขึ้น 

“เขาไม่ได้รับและไม่ได้ใช้ไฟ ตามที่โรงไฟฟ้าเคยบอกเขาไว้ ทำให้ชาวบ้านก็ไม่ได้ประโยชน์จากการมีโรงไฟฟ้าเลย เพราะว่าโรงไฟฟ้าเป็นการขายไฟให้แก่ประเทศไทย ซึ่งต้องเข้าสู่ระบบกริดในสายส่งที่จะส่งไปให้กับคนไทยทั้งประเทศได้ใช้”

นอกจากนี้ก็จะมีผู้ที่จะมาร้องเรียนกสม.เข้าตรวจสอบโครงการโรงไฟฟ้าในหงสา กสม.ก็จะทำหน้าที่ตรวจสอบตามอำนาจหน้าที่ของกสม. ซึ่งกระบวนการของกสม.ในการตรวจสอบ คือ เข้ารับฟังข้อมูลจากผู้ร้องและฟังข้อมูลจากตัวของบริษัทบริษัทหงสาด้วย ซึ่งหุ้นใหญ่ก็เป็นหุ้นที่มาจากบ้านปูนและลาดบุรีของกฟผ.เอง ซึ่งกสม.เราก็จะตรวจสอบซึ่งหุ้นใหญ่ซึ่งเป็นคนไทยเราสามารถตรวจสอบ 

การตรวจสอบผู้ประกอบการภาคเอกชนกสม.จะมีหลักในการตรวจสอบคือหลักของสหประชาชาติเกี่ยวกับการปฏิบัติตามธุรเกี่ยวกิจกับสิทธิมนุษยชน เราจะใช้หลักการนี้ตรวจสอบ นอกเหนือจากการตรวจสอบด้านสิทธิเศรษฐกิจสังคมและวัฒนธรรม ตัวสิทธิชุมชนตามรัฐธรรมนูญ การมีโครงการพัฒนาและส่งผลกระทบต่าง ๆ ต้องมีมาตรฐานการดำรงชีวิตที่ดีแล้วก็ได้รับการเยียวยาหากได้รับผลกระทบจากตัวโครงการ

ซึ่งเราจะต้องตรวจสอบไปถึงขั้นที่เรียกว่าเขามีการลงทุน สร้างโรงไฟฟ้าอย่างไรการประกอบกิจการเขาเป็นอย่างไร และผลกระทบที่มาจากการประกอบกิจการนั้นมีผลกระทบต่อสุขภาพ ต่อสิ่งแวดล้อมอย่างไรบ้าง และชาวบ้านในพื้นที่มีข้อเสนออย่างไร ที่จะให้กสม.ช่วยคุ้มครองสิทธิหรือเยียวยาสิทธิผลกระทบจากนั้นเกิดขึ้น ซึ่งเราจะใช้กระบวนการหารือจากทุกฝ่าย ทั้งนักวิชาการที่มีข้อมูลงานวิจัยที่มารองรับ เราต้องหาทางออกร่วมกันเพราะว่ากรณีการตรวจสอบของกสม.ที่เกี่ยวข้องกับสิทธิชุมชนกับโครงการพัฒนา การแก้ปัญหามันมีความจำเป็นที่ผู้ประกอบการต้องรับผิดชอบต่อความผลกระทบและความเสียหายที่เกิดขึ้น

โดยระบบเทคโนโลยีและงานวิชาการพัฒนาไปมากนั้น จึงสนับสนุนนักวิจัย สวรส. เสนอให้ประชาชนในพื้นที่เข้ามามีส่วนร่วมในการเฝ้าระวัง ซึ่ง กสม.จะใช้หลักนี้ในการตรวจสอบกิจการโครงการว่าประชาชนต้องมีส่วนร่วมเป็นหลักในการตรวจสอบและเฝ้าระวัง ซึ่งจะยั่งยืนเมื่อเทียบกับให้ภาครัฐเป้นผู้ตรวจสอบมลพิษเพียงอย่างเดียว แล้วรู้ข้อมูลกันภายในระหว่างผู้ประกอบการกับภาครัฐนั้นไม่เพียงพอ จำเป็นต้องให้คนในพื้นที่ร่วมรับรู้ข้อมูลด้วย

โรงไฟฟ้าหงสา ตั้งอยู่ที่เมืองหงสา แขวงไชยบุรี ประเทศลาว เริ่มก่อสร้างเมื่อปี 2553 ก่อนจะเปิดดำเนินการ ในเดือนพฤศจิกายน 2558 ระยะเวลาสัมปทาน 25 ปี มีพื้นที่รวม 76.4 ตารางกิโลเมตร โดยแหล่งเชื้อเพลิงมาจากถ่านหินลิกไนต์ที่ผลิตจากเหมืองแร่ในพื้นที่โครงการ ปริมาณสำรองลิกไนต์อยู่ที่ 577.4 ล้านตัน โรงไฟฟ้าต้องการปีละ 14.3 ล้านตัน รวมอายุสัมปทานทั้งหมด 370.8 ล้านตัน ว่ากันว่าศักยภาพของโรงไฟฟ้าแห่งนี้จะสามารถขยายกำลังการผลิตเพิ่ม 900 เมกะวัตต์ โดยเป็นการแบ่งขายให้ไทย 1,473 เมกะวัตต์ และขายให้ลาว 100 เมกะวัตต์ ภายใต้รัฐวิสาหกิจไฟฟ้าลาว (จากโรงไฟฟ้าถึงหลวงพระบาง)

ที่มา: thecitizen.plus

Sustainability

NARESUAN UNIVERSITY

Solverwp- WordPress Theme and Plugin