ม.นเรศวร เสริมความร่วมมือ PEA ขับเคลื่อนงานวิจัยพลังงานสะอาด

วันจันทร์ที่ 25 มีนาคม 2567 บุคลากรคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร นำโดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ศรารัตน์ มหาศรานนท์ รองคณบดีฝ่ายนวัตกรรมและถ่ายทอดเทคโนโลยี ได้เข้าร่วมกิจกรรมแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (PEA) เขต 1 ภาคกลาง จังหวัดอยุธยา โดยมีนายสุชาติ อ้นรุ่ง ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย นวัตกรรม และควบคุมคุณภาพอุปกรณ์ไฟฟ้า, นายภีวัช ทันตานุวัฏฏ ผู้อำนวยการกองวิจัยและควบคุมคุณภาพอุปกรณ์ไฟฟ้า และทีมงานร่วมกิจกรรม ภายใต้หัวข้อ “การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (PEA) พบ นักวิจัยคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร”

กิจกรรมดังกล่าวมุ่งเน้นการแลกเปลี่ยนความรู้ด้าน นวัตกรรมและเทคโนโลยีพลังงาน โดยมีการแนะนำหน่วยวิจัยพลังงานอัจฉริยะ (SE-SiL) และหน่วยงานนวัตกรรมและถ่ายทอดเทคโนโลยีของมหาวิทยาลัย ซึ่งเปิดโอกาสให้เกิดความร่วมมือระหว่างนักวิจัย มหาวิทยาลัย และ PEA ในด้านงานวิจัยและบริการวิชาการในอนาคต

การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคได้แนะนำหน่วยงาน “กองทุนการวิจัย พัฒนา และนวัตกรรม” ซึ่งสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีของหน่วยงานภายนอก เพื่อลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างประเทศ และสามารถนำผลงานวิจัยไปประยุกต์ใช้ในการดำเนินงานของ PEA อย่างมีประสิทธิภาพ

ขอบเขตของงานวิจัยและพัฒนาที่ได้รับการสนับสนุนมีหลายประเภท ได้แก่ การวิจัยและพัฒนาเพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้า การเตรียมรองรับปัญหาในระยะปานกลางถึงยาว และการสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ ที่สามารถนำไปขยายผลใช้ประโยชน์ในวงกว้าง ซึ่งสะท้อนถึงการสนับสนุน พลังงานสะอาดและยั่งยืน

นอกจากนี้ งานวิจัยและพัฒนาที่ส่งเสริมโดยกองทุนยังครอบคลุมด้าน Decentralization เช่น ระบบโครงข่ายไฟฟ้าขนาดเล็ก (Microgrid) ระบบผลิตไฟฟ้าแบบกระจายศูนย์ (Distributed Energy Resources) และระบบจัดการพลังงาน (Energy Management System) เพื่อให้การใช้พลังงานมีประสิทธิภาพสูงสุดและลดการสูญเสียพลังงาน

ในส่วนของ Digitalization งานวิจัยเน้นระบบโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ (Smart Grid), เมืองอัจฉริยะ (Smart City), การบริหารจัดการพลังงาน และอุปกรณ์อัจฉริยะ เช่น Smart Meter และ IoT ที่ช่วยให้การจัดการพลังงานมีความแม่นยำและยั่งยืนมากขึ้น

ขอบเขต Decarbonization และ Electrification ครอบคลุมพลังงานทดแทน เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ ลม น้ำ และชีวมวล รวมถึงระบบกักเก็บพลังงาน ยานยนต์ไฟฟ้า และการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่เพื่อสนับสนุนการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายความยั่งยืนของสังคม

การแลกเปลี่ยนประสบการณ์และการสร้างความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยนเรศวรกับ PEA เป็นการส่งเสริม การพัฒนางานวิจัยและนวัตกรรมพลังงาน อย่างต่อเนื่อง ทั้งในระดับชุมชน อุตสาหกรรม และประเทศชาติ เพื่อขับเคลื่อนการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน

ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับกองทุนการวิจัย พัฒนา และนวัตกรรม ติดต่อได้ที่ ฝ่ายวิจัย นวัตกรรม และควบคุมคุณภาพอุปกรณ์ไฟฟ้า โทรศัพท์ 02-590-5577 หรือเว็บไซต์ https://www.pea.co.th/ และงานนวัตกรรมและถ่ายทอดเทคโนโลยี คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร https://www.sci.nu.ac.th/acadservice/index.php

ม.นเรศวร ต้อนรับ กฟภ. ศึกษาดูงานระบบไมโครกริด เสริมความร่วมมือด้านพลังงานสะอาด

วันอังคารที่ 26 มีนาคม 2567 รองศาสตราจารย์ ดร.นิพนธ์ เกตุจ้อย ผู้อำนวยการ SGtech พร้อมด้วยผู้บริหาร อาจารย์ และบุคลากร ได้ให้การต้อนรับคณะผู้บริหารและบุคลากรจากฝ่ายวิจัย นวัตกรรม และควบคุมคุณภาพอุปกรณ์ไฟฟ้า การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ในการเข้าศึกษาดูงานด้านระบบไมโครกริด ภายใต้โครงการ “งานศึกษาและทดลองระบบบริหารจัดการรักษาสมดุลของระบบจำหน่ายแรงดันต่ำเพื่อรองรับ Disruptive Technology (Balanced LV)”

การศึกษาดูงานครั้งนี้มุ่งเน้นการเรียนรู้และแลกเปลี่ยนความรู้เกี่ยวกับ ระบบไมโครกริด (Microgrid) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีสำคัญในการบริหารจัดการพลังงานไฟฟ้า โดยช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน และรองรับความท้าทายจากการเปลี่ยนแปลงทางด้านพลังงานในอนาคต

ภายในกิจกรรมมีการบรรยายและให้ความรู้โดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ยอดธง เม่นสิน รองผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและบริการวิชาการ, ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.พรทิพย์ เม่นสิน และ ดร.อัญชิษฐา ปราสาททรัพย์ ซึ่งได้อธิบายถึงแนวทางการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ และแนวโน้มการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานพลังงานไฟฟ้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

โครงการดังกล่าวสะท้อนถึงการส่งเสริม นวัตกรรมด้านพลังงานสะอาด และการใช้เทคโนโลยีที่สามารถช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการสนับสนุนการลดภาวะโลกร้อน และการสร้างสมดุลระหว่างความต้องการใช้พลังงานกับการรักษาสิ่งแวดล้อม

นอกจากนี้ การศึกษาดูงานยังเป็นเวทีในการสร้าง ความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยกับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ผ่านการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ ประสบการณ์ และการพัฒนาโครงการร่วมกัน อันจะนำไปสู่การยกระดับคุณภาพงานวิจัยและการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อสังคม

การมีส่วนร่วมของนักวิชาการและบุคลากรในครั้งนี้ยังช่วยผลักดันการประยุกต์ใช้ พลังงานหมุนเวียนและการจัดการพลังงานอัจฉริยะ ซึ่งจะช่วยเพิ่มศักยภาพในการรองรับเทคโนโลยีใหม่ ๆ และตอบสนองความต้องการพลังงานที่เพิ่มขึ้นในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ในภาพรวม การศึกษาดูงานระบบไมโครกริดครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญของมหาวิทยาลัยในการสนับสนุนการใช้พลังงานอย่างยั่งยืน และเป็นตัวอย่างที่ดีของการเชื่อมโยงความร่วมมือระหว่างภาคการศึกษาและภาคพลังงาน เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาที่สอดคล้องกับแนวทางความยั่งยืนในระดับประเทศและระดับสากล

NU SciPark ม.นเรศวร ร่วมอบรมเชิงปฏิบัติการถ่ายทอดองค์ความรู้สู่การเป็นเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ

วันพฤหัสบดีที่ 28 มีนาคม 2567 ดร.พิสุทธิ์ อภิชยกุล รองอธิการบดีฝ่ายวิเทศสัมพันธ์และการถ่ายทอดเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยนเรศวร พร้อมด้วยบุคลากรอุทยานวิทยาศาสตร์มหาวิทยาลัยนเรศวร (NU SciPark) เข้าร่วมอบรมเชิงปฏิบัติการ “ถ่ายทอดองค์ความรู้และแนวทางการพัฒนาสู่การเป็นเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ” ณ ห้องประชุมนารายณ์ ชั้น 3 สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดพิษณุโลก

กิจกรรมครั้งนี้ได้รับเกียรติจาก นายทรงพล วิชัยขัทคะ รองผู้ว่าราชการจังหวัดพิษณุโลก เป็นประธานกล่าวเปิดการอบรม โดยมีผู้เข้าร่วมกว่า 30 คน จากหน่วยงานภาครัฐ เอกชน และภาควิชาการ ร่วมกันแลกเปลี่ยนเรียนรู้และหารือแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืนในพื้นที่เป้าหมาย

ภายในงานมีวิทยากรจากกรมโรงงานอุตสาหกรรม ถ่ายทอดองค์ความรู้เกี่ยวกับหลักการและแนวคิดเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ พร้อมทั้งให้คำแนะนำด้านการดำเนินงานเชิงบูรณาการ เพื่อเสริมสร้างศักยภาพในการจัดการสิ่งแวดล้อม ควบคู่กับการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมในระดับพื้นที่

การอบรมยังครอบคลุมถึงการทบทวนและวางแนวทางการขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ ระยะ 5 ปี (พ.ศ.2566–2570) สำหรับพื้นที่ตำบลดอนทอง–บ้านป่า จังหวัดพิษณุโลก เพื่อเตรียมความพร้อมสู่การเป็นเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ (Pre-EIT) ที่มีความสมดุลทั้งในมิติสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ และคุณภาพชีวิตของประชาชน

การมีส่วนร่วมของมหาวิทยาลัยนเรศวรและ NU SciPark ในกิจกรรมครั้งนี้ แสดงให้เห็นถึงบทบาทสำคัญของสถาบันอุดมศึกษาในการเป็นกลไกกลางเชื่อมโยงองค์ความรู้ งานวิจัย และนวัตกรรม เพื่อนำไปสู่การพัฒนาระบบนิเวศอุตสาหกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

การขับเคลื่อนเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมืออย่างใกล้ชิดระหว่างภาครัฐ เอกชน และสถาบันการศึกษา เพื่อสร้างความยั่งยืนในระยะยาว ทั้งในด้านการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ การจัดการของเสีย และการสร้างมูลค่าเพิ่มจากเศรษฐกิจหมุนเวียน

มหาวิทยาลัยนเรศวร โดย NU SciPark จะยังคงมุ่งมั่นส่งเสริมอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศ และสร้างพื้นที่ต้นแบบที่สะท้อนความสำเร็จในการบูรณาการองค์ความรู้ เทคโนโลยี และความร่วมมือจากทุกภาคส่วน

ม.นเรศวร คว้ารางวัลสถาบันอุดมศึกษากลุ่มพัฒนาการวิจัยระดับแนวหน้าของโลก ประจำปี 2566

วันพุธที่ 27 มีนาคม 2567 ศาสตราจารย์ ดร.กรกนก อิงคนินันท์ รองอธิการบดีฝ่ายพัฒนางานวิจัยและนวัตกรรม พร้อมด้วย รองศาสตราจารย์ ดร.เนติ วระนุช ผู้อำนวยการสถานวิจัยเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร เข้ารับรางวัล สถาบันอุดมศึกษา กลุ่มพัฒนาการวิจัยระดับแนวหน้าของโลก ประจำปี พ.ศ.2566 ด้านที่ 3 การสร้างและพัฒนาระบบนิเวศด้านการวิจัย ประเภทรางวัลชมเชย โดยได้รับเกียรติจากคุณศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เป็นผู้มอบรางวัล ณ ห้อง Eternity Ballroom โรงแรมพูลแมน คิง เพาเวอร์ ถนนรางน้ำ กรุงเทพมหานคร

รางวัลดังกล่าวเป็นการยกย่องและตระหนักในคุณค่าของผลงานการพัฒนาระบบนิเวศด้านการวิจัย ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างกำลังคนด้านการวิจัยของประเทศ พร้อมทั้งกระตุ้นให้นำผลงานวิจัยและองค์ความรู้ขั้นสูงไปต่อยอดสู่การพัฒนานวัตกรรมที่สามารถเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันในระดับประเทศและระดับโลก

มหาวิทยาลัยนเรศวรให้ความสำคัญกับการพัฒนาระบบนิเวศวิจัยที่มีคุณภาพ โดยการสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และสถาบันการศึกษาในระดับนานาชาติ อันจะช่วยผลักดันการวิจัยที่มีคุณค่าและตอบโจทย์ความต้องการของสังคมและอุตสาหกรรม

การได้รับรางวัลครั้งนี้ยังแสดงให้เห็นถึงการทำงานอย่างบูรณาการของคณาจารย์ นักวิจัย และบุคลากรในมหาวิทยาลัย ที่ร่วมกันพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านวิจัย ระบบสนับสนุน และบรรยากาศที่เอื้อต่อการสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้ มหาวิทยาลัยนเรศวรยังคงเน้นบทบาทสำคัญในฐานะศูนย์กลางทางวิชาการและการวิจัย โดยส่งเสริมให้เกิดการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ การบ่มเพาะนักวิจัยรุ่นใหม่ และการสร้างแพลตฟอร์มที่ช่วยสนับสนุนการวิจัยเชิงลึก รวมถึงการพัฒนางานที่สามารถแข่งขันได้ในเวทีนานาชาติ

การสร้างและพัฒนาระบบนิเวศด้านการวิจัยยังมีความสำคัญต่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน ทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม เนื่องจากสามารถนำไปสู่การแก้ไขปัญหาที่ซับซ้อนของประเทศด้วยองค์ความรู้และนวัตกรรมที่เหมาะสมกับบริบทของสังคมไทย

มหาวิทยาลัยนเรศวรจะเดินหน้าต่อไปในการส่งเสริมนวัตกรรมการวิจัย เพื่อสร้างผลลัพธ์ที่จับต้องได้ ขยายผลการพัฒนา และสร้างความร่วมมือระดับโลก เพื่อยกระดับคุณภาพงานวิจัยของไทย และตอบสนองต่อเป้าหมายการพัฒนาประเทศในอนาคตอย่างมั่นคง

อ้างอิง: ประกาศกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม

ม.นเรศวร วิจัยแก้จน ขจัดความยากจนด้วยข้อมูลเชิงพื้นที่

มหาวิทยาลัยนเรศวร ร่วมกับ หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) จัดกิจกรรมแสดงผลงานวิจัยแก้ไขปัญหาความยากจนจังหวัดพิษณุโลก ภายใต้โครงการศึกษาแนวทางการแก้ไขปัญหาความยากจนแบบเบ็ดเสร็จและแม่นยำ ภาคเหนือตอนล่าง ระยะที่ 3 โดยมี ศาสตราจารย์ ดร.จิรวัฒน์ พิระสันต์ อาจารย์คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ ศิลปะและการออกแบบ มหาวิทยาลัยนเรศวร ทำหน้าที่หัวหน้าโครงการวิจัย พร้อมด้วยหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม เข้าร่วมอย่างกว้างขวาง ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพิษณุโลก จังหวัดพิษณุโลก

โครงการวิจัยดังกล่าวมุ่งเน้นการแก้ไขปัญหาความยากจนในเชิงโครงสร้าง โดยใช้ข้อมูลเชิงพื้นที่เพื่อวิเคราะห์สาเหตุที่แท้จริงของความยากจน และออกแบบแนวทางแก้ไขอย่างตรงจุด การดำเนินงานในลักษณะนี้ถือเป็นการบูรณาการระหว่างงานวิจัยและการปฏิบัติจริง ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการสร้างความมั่นคงในชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนในพื้นที่

มหาวิทยาลัยนเรศวรให้ความสำคัญกับการขับเคลื่อนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยเฉพาะ SDG1 การขจัดความยากจน ที่มุ่งสร้างระบบสนับสนุนให้ครัวเรือนเปราะบางสามารถเข้าถึงโอกาสทางอาชีพ มีรายได้ที่มั่นคง และสามารถดำรงชีวิตได้อย่างมีคุณภาพ ตลอดจนลดความเหลื่อมล้ำในสังคมให้เกิดความเท่าเทียม

การดำเนินงานของโครงการยังสอดคล้องกับ SDG10 การลดความเหลื่อมล้ำ โดยเน้นการสร้างโอกาสที่เท่าเทียมแก่กลุ่มประชากรทุกช่วงวัย ทุกสถานะ และทุกชุมชนในจังหวัดพิษณุโลก ผ่านกลไกการทำงานร่วมกันระหว่างมหาวิทยาลัย หน่วยงานท้องถิ่น และภาคประชาชน เพื่อขยายผลการพัฒนาที่ทั่วถึงและเป็นธรรม

นอกจากนี้ โครงการยังสะท้อนถึงความสำคัญของ SDG17 ความร่วมมือเพื่อการพัฒนา ที่เกิดจากการประสานพลังของหลายภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นมหาวิทยาลัย หน่วยงานสนับสนุนทุนอย่าง บพท. ภาคธุรกิจ และเครือข่ายภาคประชาชน ที่ร่วมกันขับเคลื่อนการวิจัยสู่การปฏิบัติจริง อันนำไปสู่การแก้ไขปัญหาความยากจนได้อย่างยั่งยืนและต่อเนื่อง

ผลงานวิจัยที่นำเสนอในการจัดแสดงครั้งนี้ นอกจากจะแสดงให้เห็นแนวทางแก้ไขปัญหาความยากจนเชิงพื้นที่แล้ว ยังเป็นแรงบันดาลใจให้หน่วยงานอื่น ๆ นำไปปรับใช้ในพื้นที่ของตนเอง ถือเป็นการขยายผลที่ช่วยให้เกิดการเรียนรู้ร่วมกันและสร้างนวัตกรรมการแก้ไขปัญหาความยากจนที่เหมาะสมกับบริบทท้องถิ่น

ในอนาคต มหาวิทยาลัยนเรศวรจะยังคงยึดมั่นในบทบาท “มหาวิทยาลัยเพื่อสังคม” ที่มุ่งผลิตงานวิจัยเชิงคุณภาพเพื่อแก้ไขปัญหาของสังคมจริง พร้อมทั้งทำงานร่วมกับทุกภาคส่วนเพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศไปสู่ความยั่งยืน ลดความเหลื่อมล้ำ และสร้างสังคมที่มีความมั่นคง มั่งคั่ง และเป็นธรรมอย่างแท้จริง

ชมวิดีโอ Facebook: วิจัยแก้จน

ม.นเรศวร ร่วมกับ บพท. จัดแสดงผลงานวิจัย “แก้จน” ภายใต้โครงการศึกษาแนวทางแก้ไขปัญหาความยากจนเบ็ดเสร็จและแม่นยำฯ

วันอังคารที่ 19 มีนาคม 2567 มหาวิทยาลัยนเรศวร ร่วมกับหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) จัดแสดง “ผลงานวิจัยแก้ไขปัญหาความยากจนจังหวัดพิษณุโลก” ภายใต้โครงการศึกษาแนวทางแก้ไขปัญหาความยากจนแบบเบ็ดเสร็จและแม่นยำ ภาคเหนือตอนล่าง ระยะที่ 3 โดยมี ศาสตราจารย์ ดร.จิรวัฒน์ พิระสันต์ อาจารย์คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ ศิลปะและการออกแบบ มหาวิทยาลัยนเรศวร เป็นหัวหน้าโครงการวิจัย

พิธีเปิดได้รับเกียรติจาก นายพชรเสฏฐ์ บุญศิริสาริศา รองผู้ว่าราชการจังหวัดพิษณุโลก เป็นประธานในงาน และ ดร.ยุทธพงษ์ ทองพบ ผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายพัฒนางานวิจัยและนวัตกรรม ผู้แทนอธิการบดีมหาวิทยาลัยนเรศวร เข้าร่วมกิจกรรม ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพิษณุโลก จังหวัดพิษณุโลก โดยมีหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชนเข้าร่วมอย่างคับคั่ง

โครงการนี้มุ่งเน้นการแก้ไขปัญหาในเชิงโครงสร้าง ด้วยการใช้ข้อมูลวิจัยเชิงพื้นที่ เพื่อระบุปัญหาที่แท้จริงและออกแบบแนวทางแก้ไขอย่างแม่นยำ ถือเป็นก้าวสำคัญในการขับเคลื่อนเป้าหมาย SDG1 ขจัดความยากจน โดยการสร้างระบบสนับสนุนที่ช่วยให้ครัวเรือนเปราะบางสามารถเข้าถึงโอกาสในการประกอบอาชีพ มีรายได้ที่มั่นคง และสามารถดำรงชีวิตได้อย่างมีคุณภาพ

นอกจากการลดความยากจนแล้ว โครงการยังมีบทบาทสำคัญในการ ลดความเหลื่อมล้ำ (SDG10) ผ่านการสร้างโอกาสให้กับกลุ่มประชากรที่ด้อยโอกาส ไม่ว่าจะเป็นชาวบ้านในพื้นที่ชนบท ผู้สูงอายุ ผู้พิการ และครัวเรือนที่มีรายได้น้อย ให้สามารถเข้าถึงทรัพยากร บริการทางสังคม และนวัตกรรมที่เหมาะสม ซึ่งจะช่วยลดช่องว่างระหว่างกลุ่มคนในสังคมอย่างยั่งยืน

อีกหนึ่งจุดเด่นของโครงการ คือการสร้าง ความร่วมมือ (SDG17) ระหว่างมหาวิทยาลัย หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และชุมชนในพื้นที่ เพื่อร่วมกันแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ และหาแนวทางแก้ปัญหาเชิงบูรณาการ การทำงานร่วมกันในลักษณะนี้แสดงให้เห็นถึงการผนึกกำลังเพื่อสร้างผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม และต่อยอดไปสู่การแก้ไขปัญหาในระดับประเทศ

การจัดแสดงผลงานในครั้งนี้ ไม่เพียงแต่เป็นการเผยแพร่งานวิจัยเชิงวิชาการ แต่ยังเป็นเวทีให้ชุมชนได้เห็นตัวอย่างของนวัตกรรมและแนวปฏิบัติที่สามารถนำไปใช้จริงในชีวิตประจำวัน ทั้งในด้านอาชีพ การพัฒนาทักษะ และการสร้างเครือข่ายชุมชนที่เข้มแข็ง ซึ่งจะช่วยสร้างผลลัพธ์ในระยะยาว

มหาวิทยาลัยนเรศวรจึงตอกย้ำบทบาทของสถาบันอุดมศึกษาในการเป็น ศูนย์กลางความรู้เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยเชื่อมโยงการวิจัยกับการแก้ปัญหาเชิงพื้นที่และสังคม ซึ่งไม่เพียงตอบโจทย์การแก้ปัญหาความยากจนและความเหลื่อมล้ำในปัจจุบัน แต่ยังเป็นการลงทุนเพื่ออนาคตของประเทศ ผ่านการสร้างสังคมที่เท่าเทียม มีคุณภาพชีวิตที่ดี และยั่งยืนในระยะยาว

ม.นเรศวร สำรวจโซเดียมในอาหารมหาวิทยาลัย ชูแนวทางลดความเสี่ยงโรคจากการบริโภคอาหารรสเค็ม

วันจันทร์ที่ 18 มีนาคม 2567 หน่วยเวชปฏิบัติชุมชน คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร ร่วมกับโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลท่าโพธิ์ และกองกิจการนิสิต มหาวิทยาลัยนเรศวร ได้จัดกิจกรรมสำรวจปริมาณโซเดียมในอาหารโดยใช้เครื่องวัดความเค็ม (Salt Meter) เพื่อรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับระดับโซเดียมในอาหารที่จำหน่ายในพื้นที่มหาวิทยาลัย กิจกรรมนี้ถือเป็นกลยุทธ์สำคัญในการส่งเสริมสุขภาพ ลดปัจจัยเสี่ยงจากการบริโภคอาหารไม่เหมาะสม และสนับสนุนการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยมุ่งเน้นไปที่การ ลดความเสี่ยงโรคจากการบริโภคอาหารรสเค็ม

การดำเนินการสำรวจในโรงอาหารของหอพักมหาวิทยาลัย จำนวน 12 ร้านค้า ครอบคลุมเมนูอาหาร 13 ชนิด พบว่าอาหารที่มีระดับความเค็มน้อยมีจำนวน 9 ชนิด คิดเป็นร้อยละ 69.23 อาหารที่มีระดับความเค็มมากจำนวน 3 ชนิด คิดเป็นร้อยละ 23.08 และอาหารที่อยู่ในระดับเริ่มเค็ม 1 ชนิด คิดเป็นร้อยละ 7.69 ข้อมูลดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงความจำเป็นในการปรับปรุงการปรุงอาหารเพื่อลดปริมาณโซเดียมลง

นอกจากนี้ ยังได้ทำการสำรวจร้านค้ารอบมหาวิทยาลัยนเรศวรจำนวน 10 ร้านค้า ครอบคลุมเมนูอาหาร 10 ชนิด พบว่าอาหารที่มีความเค็มน้อย 5 ชนิด คิดเป็นร้อยละ 50 อาหารที่เริ่มเค็ม 4 ชนิด คิดเป็นร้อยละ 40 และอาหารที่เค็มมาก 1 ชนิด คิดเป็นร้อยละ 10 สะท้อนถึงความหลากหลายในการใช้เครื่องปรุงรส และชี้ให้เห็นว่ามีพื้นที่ในการพัฒนาคุณภาพอาหารเพื่อสุขภาพที่ดีขึ้น

กระบวนการสำรวจไม่ได้มุ่งเน้นเพียงการเก็บข้อมูล แต่ยังเป็นการให้คำแนะนำแก่ผู้ประกอบการร้านค้า โดยเฉพาะการลดการใช้น้ำปลาและเกลือที่เป็นแหล่งโซเดียมหลัก คำแนะนำดังกล่าวเน้นการสร้างสมดุลระหว่างรสชาติอาหารและสุขภาพ เพื่อให้ผู้บริโภคยังคงได้รับความอร่อยโดยไม่ส่งผลเสียต่อสุขภาพในระยะยาว

อีกหนึ่งกิจกรรมสำคัญคือการติดสติกเกอร์บอกระดับความเค็มของอาหารในร้านที่มีเมนูความเค็มน้อยจำนวน 14 ร้าน เพื่อช่วยให้ผู้บริโภคสามารถตัดสินใจเลือกเมนูที่ดีต่อสุขภาพได้ง่ายขึ้น วิธีการนี้ไม่เพียงสร้างการรับรู้ แต่ยังช่วยกระตุ้นให้ผู้ประกอบการเห็นความสำคัญในการปรับสูตรอาหารเพื่อลดโซเดียมลง

การลดโซเดียมในอาหารมีผลโดยตรงต่อการลดความเสี่ยงของโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือดหัวใจ และโรคไต การดำเนินกิจกรรมในครั้งนี้จึงเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตและลดภาระค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพในระยะยาว

โครงการนี้ยังเป็นการเพิ่มพูนความรู้ให้กับนิสิตและบุคลากรในมหาวิทยาลัยเกี่ยวกับผลกระทบของโซเดียมต่อสุขภาพ สร้างแรงบันดาลใจให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการบริโภคสู่ทางเลือกที่ดีต่อสุขภาพ และเป็นจุดเริ่มต้นในการสร้างชุมชนมหาวิทยาลัยที่ใส่ใจสุขภาพและสิ่งแวดล้อม

ความร่วมมือระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นมหาวิทยาลัย โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล และหน่วยงานท้องถิ่น แสดงให้เห็นถึงการบูรณาการเพื่อการพัฒนาที่เข้มแข็ง และตอบโจทย์เป้าหมายการพัฒนาในมิติของสุขภาพ โภชนาการ และความร่วมมือระดับภาคีเครือข่าย เพื่อสร้างสังคมที่มีความยั่งยืนและสุขภาพดีในระยะยาว

ที่มา: คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร

ม.นเรศวร จับมือ มช. ลงนาม MOU ความร่วมมือวิจัยเพื่อการลดก๊าซเรือนกระจกในภาคพลังงาน

วันพุธที่ 20 มีนาคม 2567 มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และมหาวิทยาลัยนเรศวร ได้ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ว่าด้วยความร่วมมือด้านการศึกษาและการพัฒนางานวิจัยเพื่อส่งเสริมการลดก๊าซเรือนกระจกในภาคพลังงานของประเทศ พิธีลงนามจัดขึ้น ณ ห้องประชุมตะวัน กังวานพงศ์ อาคารยุทธศาสตร์ สำนักงานมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โดยมีผู้บริหารและผู้แทนทั้งสองสถาบันเข้าร่วมเป็นสักขีพยานอย่างพร้อมเพรียง

การลงนามครั้งนี้ นำโดย ศาสตราจารย์ ดร.นายแพทย์พงษ์รักษ์ ศรีบัณฑิตมงคล อธิการบดีมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และ รองศาสตราจารย์ ดร.ศรินทร์ทิพย์ แทนธานี รักษาราชการแทนอธิการบดีมหาวิทยาลัยนเรศวร ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของสองมหาวิทยาลัยในการบูรณาการองค์ความรู้และศักยภาพด้านวิชาการเพื่อแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมที่ท้าทายในปัจจุบัน

บันทึกความร่วมมือ (MOU) ฉบับนี้ให้ความสำคัญกับการ ศึกษาและพัฒนางานวิจัยด้านการลดก๊าซเรือนกระจก โดยเฉพาะในภาคพลังงาน ซึ่งเป็นภาคส่วนที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในปริมาณสูงและส่งผลโดยตรงต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การร่วมมือดังกล่าวจะช่วยสนับสนุนการพัฒนาองค์ความรู้ที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์จริงทั้งในระดับประเทศและระดับนานาชาติ

ภายใต้กรอบความร่วมมือ ทั้งสองมหาวิทยาลัยจะมีการ ประสานงานและแลกเปลี่ยนข้อมูล ที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการสร้างเครือข่ายวิจัยที่เข้มแข็งเพื่อส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนานวัตกรรมด้านพลังงานสะอาดและการลดการปล่อยคาร์บอน ความร่วมมือนี้มีระยะเวลา 3 ปี ซึ่งถือเป็นช่วงเวลาสำคัญในการสร้างผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม

ในพิธีลงนามได้รับเกียรติจากผู้บริหารมหาวิทยาลัยเชียงใหม่เข้าร่วม ได้แก่ รองศาสตราจารย์ประเสริฐ ฤกษ์เกรียงไกร รองอธิการบดี, รองศาสตราจารย์ ดร.วินิตา บุณโยดม รองอธิการบดี, ศาสตราจารย์เกียรติคุณ ดร.สัญชัย จตุรสิทธา, และ รองศาสตราจารย์วงกต วงศ์อภัย ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยพหุศาสตร์ รวมทั้งคณะผู้บริหารและผู้เกี่ยวข้องที่เข้าร่วมเป็นสักขีพยาน

การร่วมมือครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงความตั้งใจของสถาบันอุดมศึกษาของไทยในการมีบทบาทเชิงรุกต่อการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะ การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในภาคพลังงาน ที่สอดคล้องกับนโยบายพลังงานสะอาดและการพัฒนาที่ยั่งยืน การบูรณาการงานวิจัยจึงไม่เพียงแต่สนับสนุนด้านวิชาการ แต่ยังช่วยสร้างต้นแบบในการจัดการพลังงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

นอกจากนี้ ความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยเชียงใหม่และมหาวิทยาลัยนเรศวรยังเป็น การสร้างความร่วมมือเชิงพันธมิตรของมหาวิทยาลัยในภูมิภาคเดียวกัน ที่มุ่งสร้างพลังร่วมในการพัฒนางานวิจัยและนวัตกรรมเพื่อสิ่งแวดล้อม ความร่วมมือนี้ไม่เพียงมุ่งหวังผลประโยชน์เฉพาะสถาบัน แต่ยังเป็นกลไกสนับสนุนการดำเนินงานตามพันธกรณีของประเทศและความร่วมมือระดับโลกในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

โครงการความร่วมมือนี้จึงเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของการเชื่อมโยงการวิจัยและการจัดการพลังงานเข้ากับเป้าหมายความยั่งยืนของโลก โดยเน้นทั้งการ ลดก๊าซเรือนกระจก และการสร้าง เครือข่ายความร่วมมือทางวิชาการในระดับภูมิภาค เพื่อสนับสนุนการพัฒนาคุณภาพชีวิตและสิ่งแวดล้อมของประเทศในระยะยาว

ม.นเรศวร ลงนาม MOU ความร่วมมือทางวิชาการกับกลุ่มโรงแรมระดับ Luxury เพื่อพัฒนาศักยภาพนิสิตสู่ตลาดแรงงานคุณภาพ

วันจันทร์ที่ 11 มีนาคม 2567 คณะบริหารธุรกิจ เศรษฐศาสตร์และการสื่อสาร มหาวิทยาลัยนเรศวร ได้จัดพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการ (MOU) ร่วมกับกลุ่มโรงแรมระดับ Luxury hotel จำนวน 4 แห่ง ณ ห้อง Convention Hall ชั้น 6 คณะบริหารธุรกิจ เศรษฐศาสตร์และการสื่อสาร มหาวิทยาลัยนเรศวร โดยมีผู้บริหาร คณาจารย์ และนิสิตภาควิชาการท่องเที่ยวเข้าร่วมเป็นสักขีพยานอย่างพร้อมเพรียง

พิธีลงนามได้รับเกียรติกล่าวเปิดโดย รองศาสตราจารย์ ดร.ศรินทิพย์ แทนธานี รักษาราชการแทนอธิการบดีมหาวิทยาลัยนเรศวร และกล่าวรายงานโดย รองศาสตราจารย์ ดร.วิชญานัน รัตนวิบูลย์สม คณบดีคณะบริหารธุรกิจ เศรษฐศาสตร์และการสื่อสาร ซึ่งตอกย้ำถึงความสำคัญของการสร้างความร่วมมือทางวิชาการระหว่างสถาบันการศึกษาและภาคอุตสาหกรรมในการ ส่งเสริมและพัฒนาการเรียนการสอน เพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษาและการพัฒนาศักยภาพบัณฑิต

ความร่วมมือในครั้งนี้ประกอบด้วยโรงแรมในเครือชั้นนำ ได้แก่ เครือ Marriott International ประเทศไทย ซึ่งเปิดโอกาสให้นิสิตเข้าร่วมฝึกประสบการณ์กับโรงแรมกว่า 50 แห่งทั่วประเทศ โดยมีแนวทางหลักในการพัฒนาทรัพยากรบุคคลอย่างยั่งยืน เน้นการดูแลผู้คนเป็นอันดับแรก และสนับสนุนการเติบโตของคนไทยให้สามารถพัฒนาตนเองได้อย่างเต็มศักยภาพ

อีกทั้งยังมี โรงแรมโรสวูด แบงคอก และโรงแรมโรสวูด ภูเก็ต ที่ให้ความสำคัญกับการสร้างความสัมพันธ์ที่ยั่งยืนกับผู้คนและสังคม เชื่อว่าทรัพยากรมนุษย์คือคุณค่าที่เหนือกว่าผลกำไรเชิงพาณิชย์ พร้อมทั้งดำเนินงานที่สอดคล้องกับความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ถือเป็นพันธกิจที่ช่วยส่งเสริมการพัฒนาอย่างรอบด้าน

นอกจากนี้ยังมี กลุ่มโรงแรมเครือกะตะธานีคอลเลคชั่น ที่เข้าร่วมเป็นภาคีเครือข่าย โดยเน้นการพัฒนาศักยภาพบุคลากรด้านการท่องเที่ยวและการโรงแรม เพื่อสนับสนุนความต้องการของตลาดแรงงานและยกระดับคุณภาพการบริการของอุตสาหกรรมโรงแรมไทยให้เป็นที่ยอมรับในระดับสากล

การลงนาม MOU ในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเปิดโอกาสให้นิสิตภาควิชาการท่องเที่ยวและภาควิชาที่เกี่ยวข้องได้เข้าร่วม การฝึกงานและสหกิจศึกษา โดยตรงกับสถานประกอบการจริง ซึ่งเป็นการบูรณาการการเรียนรู้กับการปฏิบัติงานจริงอย่างเป็นระบบ ช่วยพัฒนาทักษะวิชาชีพ การบริการ และการจัดการที่จำเป็นต่อการทำงานในอนาคต

ความร่วมมือนี้ยังเป็นการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างมหาวิทยาลัยกับภาคอุตสาหกรรมที่เอื้อต่อการ พัฒนาคุณภาพการศึกษา (Quality Education) และการ ส่งเสริมโอกาสการทำงานที่มีคุณค่า (Decent Work Opportunities) ซึ่งสอดคล้องกับการพัฒนาที่ยั่งยืนทั้งด้านการผลิตบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถ และการสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ

โครงการดังกล่าวจึงเป็นก้าวสำคัญของมหาวิทยาลัยนเรศวรในการยกระดับการเรียนการสอนให้ทันสมัย เชื่อมโยงกับความต้องการของภาคอุตสาหกรรม และตอบโจทย์การพัฒนาที่ยั่งยืน โดยเฉพาะการสร้างบัณฑิตที่มีความพร้อมเข้าสู่ตลาดแรงงานอย่างมีคุณภาพ และเป็นกำลังสำคัญต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมในอนาคต

ม.นเรศวร ร่วมกับ บพท. เปิดตัวโครงการวิจัย ‘แก้ปัญหาความยากจนแบบเบ็ดเสร็จในภาคเหนือตอนล่าง’

โครงการวิจัย “การศึกษาแนวทางการแก้ไขปัญหาความยากจนแบบเบ็ดเสร็จและแม่นยำภาคเหนือตอนล่าง: กรณีศึกษาจังหวัดพิษณุโลก” ซึ่งจัดโดย หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) ร่วมกับ มหาวิทยาลัยนเรศวร ถือเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของการนำวิจัยและนวัตกรรมมาใช้ในการแก้ไขปัญหาความยากจนในระดับท้องถิ่น โครงการนี้มีเป้าหมายสำคัญในการศึกษาปัญหาความยากจนในภาคเหนือตอนล่าง โดยเฉพาะในจังหวัดพิษณุโลก ซึ่งมีความท้าทายทางเศรษฐกิจและสังคมที่ซับซ้อน โครงการนี้ไม่เพียงแต่ตอบสนองต่อการพัฒนาเศรษฐกิจในพื้นที่ แต่ยังสอดคล้องกับหลายเป้าหมายของการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) โดยเฉพาะในด้าน SDG 1 (การขจัดความยากจน), SDG 10 (ลดความเหลื่อมล้ำ), และ SDG 8 (การเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืนและการทำงานที่ดี)

1. แก้ไขปัญหาความยากจน: มุมมองจากโครงการวิจัย: การดำเนินโครงการวิจัยนี้มีจุดมุ่งหมายหลักในการพัฒนากลยุทธ์การแก้ไขปัญหาความยากจนในภาคเหนือตอนล่าง โดยเฉพาะในจังหวัดพิษณุโลก ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีความท้าทายหลายด้าน ทั้งความไม่เสมอภาคในการเข้าถึงโอกาสทางเศรษฐกิจ การขาดแคลนทรัพยากร และขาดทักษะในการสร้างอาชีพที่ยั่งยืน การศึกษาแนวทางการแก้ไขปัญหาความยากจนในครั้งนี้จึงมุ่งเน้นการพัฒนานโยบายและกลยุทธ์ที่สามารถนำไปใช้ได้จริงในพื้นที่ โดยมองปัญหาความยากจนในหลายมิติ ทั้งในด้านเศรษฐกิจ การศึกษา การเสริมสร้างทักษะ และการเข้าถึงบริการพื้นฐานที่จำเป็น เช่น น้ำ, พลังงาน, และการดูแลสุขภาพ

2. การสอดคล้องกับ SDG 1: การขจัดความยากจน: โครงการวิจัยนี้มุ่งเน้นการแก้ไขปัญหาความยากจนในระดับพื้นที่ผ่านการให้ความรู้และทักษะแก่ประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มที่มีรายได้น้อยหรือขาดโอกาสในการพัฒนาอาชีพและการศึกษา การพัฒนากลยุทธ์ที่สามารถแก้ไขปัญหาความยากจนอย่างเบ็ดเสร็จและแม่นยำนั้น เป็นการช่วยเพิ่มโอกาสทางเศรษฐกิจและการพัฒนาอาชีพที่เหมาะสมกับบริบทของท้องถิ่น ซึ่งจะทำให้ชุมชนสามารถพัฒนาความสามารถในการสร้างรายได้อย่างยั่งยืน การออกแบบแนวทางการแก้ไขความยากจนที่มีประสิทธิภาพนี้ เป็นการดำเนินงานที่สอดคล้องกับ SDG 1: การขจัดความยากจน ซึ่งมุ่งหวังให้ทุกคนมีชีวิตที่ดีขึ้นและเข้าถึงโอกาสที่เท่าเทียมกัน

การพัฒนาในรูปแบบนี้จะช่วยให้กลุ่มผู้มีรายได้น้อยสามารถเข้าถึงการศึกษา ทักษะการประกอบอาชีพ และแหล่งทรัพยากรที่จำเป็นต่อการพัฒนาคุณภาพชีวิต ซึ่งสามารถนำไปสู่การยุติความยากจนในระดับชุมชนได้อย่างยั่งยืน

3. การลดความเหลื่อมล้ำ: SDG 10: โครงการวิจัยนี้ยังเชื่อมโยงกับ SDG 10: ลดความเหลื่อมล้ำ โดยมุ่งเน้นการลดช่องว่างระหว่างกลุ่มคนที่มีฐานะทางเศรษฐกิจแตกต่างกันในพื้นที่ การศึกษาและวิเคราะห์ปัจจัยที่ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำในด้านต่าง ๆ เช่น การศึกษาไม่เท่าเทียม การขาดทักษะทางวิชาชีพ หรือการขาดแคลนโอกาสในการเข้าถึงทรัพยากรพื้นฐานที่จำเป็น เช่น น้ำ, พลังงาน, การดูแลสุขภาพ, การศึกษา และการมีงานทำ เป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำในชุมชน

การสร้างโอกาสในการพัฒนาโดยการให้ความรู้และทักษะ การส่งเสริมโอกาสทางการศึกษา และการเสริมสร้างโครงสร้างพื้นฐานในพื้นที่ต่าง ๆ จะช่วยลดช่องว่างเหล่านี้และทำให้ทุกคนสามารถมีชีวิตที่มีคุณภาพและมีโอกาสที่เท่าเทียมกัน การลดความเหลื่อมล้ำในสังคมถือเป็นส่วนสำคัญในการสร้างสังคมที่ยุติธรรมและยั่งยืน

4. การเสริมสร้างเศรษฐกิจที่ยั่งยืน: SDG 8: การวิจัยและผลลัพธ์จากโครงการนี้ยังมีบทบาทสำคัญในการเสริมสร้างเศรษฐกิจที่ยั่งยืนในพื้นที่ภาคเหนือตอนล่าง โดยการออกแบบแนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจที่สอดคล้องกับทรัพยากรท้องถิ่นและความสามารถของชุมชน การพัฒนาเศรษฐกิจที่ยั่งยืนเป็นการส่งเสริมอาชีพที่ยั่งยืนและการสร้างงานในชุมชน ถือเป็นส่วนสำคัญของการพัฒนาเศรษฐกิจที่ยั่งยืนในระดับท้องถิ่น

การวิจัยนี้ไม่เพียงแต่สนับสนุนการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของชุมชนท้องถิ่น แต่ยังช่วยให้ชุมชนสามารถพึ่งพาตนเองได้ ลดการพึ่งพิงจากภายนอก และสามารถเติบโตได้ด้วยตัวเองอย่างยั่งยืน SDG 8: การเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืนและการทำงานที่ดี ได้รับการขับเคลื่อนอย่างมีประสิทธิภาพผ่านการสนับสนุนการพัฒนาอาชีพที่เหมาะสมกับทรัพยากรในพื้นที่

5. บทบาทของมหาวิทยาลัยนเรศวรในการขับเคลื่อนการพัฒนาที่ยั่งยืน: มหาวิทยาลัยนเรศวร ซึ่งเป็นสถาบันการศึกษาหลักในภาคเหนือตอนล่าง มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนการวิจัยและการพัฒนาในพื้นที่ ศาสตราจารย์ ดร.จิรวัฒน์ พิระสันต์ หัวหน้าโครงการวิจัย ได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการใช้ข้อมูลวิจัยที่มีความแม่นยำในการออกแบบนโยบายการแก้ไขปัญหาความยากจน โดยระบุว่า “การใช้วิจัยในเชิงลึกเป็นเครื่องมือในการพัฒนาที่ยั่งยืน จะช่วยให้เราเข้าใจปัญหาความยากจนในแต่ละพื้นที่ได้ดีขึ้น และสามารถออกแบบมาตรการที่ตรงกับความต้องการของชุมชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ”

การทำงานร่วมกับ หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) และการนำองค์ความรู้ทางวิชาการมาใช้ในการพัฒนาชุมชน ถือเป็นการขับเคลื่อน SDG 17: การสร้างพันธมิตรเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยการสร้างความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัย, หน่วยงานภาครัฐ, และภาคเอกชน เพื่อแก้ไขปัญหาความยากจนและส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจในระดับท้องถิ่นอย่างยั่งยืน

โครงการวิจัยนี้จึงเป็นการนำวิจัยและนวัตกรรมมาใช้ในการแก้ไขปัญหาความยากจนในพื้นที่อย่างมีประสิทธิภาพและเป็นมิตรกับบริบทท้องถิ่น ถือเป็นการขับเคลื่อนการพัฒนาที่ยั่งยืนที่สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนในทุกด้าน

Sustainability

NARESUAN UNIVERSITY

Solverwp- WordPress Theme and Plugin