Archives 2024

ม.นเรศวร ส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิตผ่านค่ายสร้างคุณค่าสำหรับนิสิตพิการ

มหาวิทยาลัยนเรศวรเน้นย้ำบทบาทสำคัญในการส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิตและสร้างความเท่าเทียมทางการศึกษา โดยจัด โครงการกระบวนกรสร้างคุณค่า เพื่อพัฒนาทัศนคติและความสัมพันธ์ระหว่างนิสิตพิการและนิสิตทั่วไป กิจกรรมนี้จัดขึ้นเมื่อวันที่ 23-24 มีนาคม 2567 ณ บ้านหมอรีสอร์ท จังหวัดสุโขทัย

โครงการดังกล่าวมุ่งสร้างพื้นที่ปลอดภัยสำหรับนิสิตทุกคน เพื่อสนับสนุนการแสดงออกอย่างเต็มที่ ปลูกฝังพลังบวก เสริมสร้างความสัมพันธ์ในกลุ่ม และพัฒนาทักษะสำคัญในการสื่อสารและการอยู่ร่วมกันในสังคม ภายในค่ายมีกิจกรรมหลากหลาย เช่น การพูดคุยแบบเปิดใจ การทำงานร่วมกันในกลุ่ม และการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ชีวิต ซึ่งช่วยสร้างบรรยากาศอบอุ่นและเป็นมิตร

นิสิตพิการที่เข้าร่วมกิจกรรมได้รับประโยชน์ทั้งในด้านการพัฒนาตัวเอง พร้อมเรียนรู้ที่จะเข้าใจและสนับสนุนซึ่งกันและกัน นับเป็นการเสริมสร้างศักยภาพที่มีคุณค่าแก่ทุกคนที่เข้าร่วม

มหาวิทยาลัยนเรศวรยังคงมุ่งมั่นลดข้อจำกัดทางการศึกษา และส่งเสริมศักยภาพนิสิตในทุกมิติ เพื่อให้การศึกษาเข้าถึงทุกคนอย่างเท่าเทียม นับเป็นอีกก้าวสำคัญในการสนับสนุนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDG 4) ที่เชื่อมโยงการเรียนรู้ตลอดชีวิตกับการสร้างสังคมแห่งความเท่าเทียมและครอบคลุมในทุกด้าน

การอบรมเชิงปฏิบัติการ การช่วยชีวิตขั้นพื้นฐาน(BLS Provider)

โรงพยาบาลทันตกรรม คณะทันตแพทยศาสตร์ จัดโครงการอบรมเชิงปฏิบัติการ การช่วยชีวิตขั้นพื้นฐาน(BLS Provider) เรื่อง “การดูแลผู้ป่วยในภาวะการแพ้รุนแรงเฉียบพลัน (anaphylaxis)” โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเตรียมความพร้อมในกรณีที่อาจเกิดเหตุอันไม่พึงประสงค์หรือเกิดภาวะฉุกเฉินภายในโรงพยาบาลทันตกรรม โดย อ.นพ.ทพ.สุรัตน์ แสงจินดา ในวันจันทร์ที่ 18 มีนาคม 2567 เวลา 09.00 – 12.00 น. ณ ชั้น 2 DT3227 ห้องเรียนบรรยาย (ห้องสโลป) โรงพยาบาลทันตกรรม คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร

ม.นเรศวร ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ว่าด้วยความร่วมมือศึกษาและพัฒนางานวิจัยด้านการลดก๊าซเรือนกระจก

วันที่ 20 มีนาคม 2567 มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กับ มหาวิทยาลัยนเรศวร ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ว่าด้วยความร่วมมือศึกษาและพัฒนางานวิจัยด้านการลดก๊าซเรือนกระจก ในภาคพลังงานของประเทศ ศาสตราจารย์ ดร.นายแพทย์พงษ์รักษ์ ศรีบัณฑิตมงคล อธิการบดีมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ พร้อมด้วย รองศาสตราจารย์ ดร.ศรินทร์ทิพย์ แทนธานี รักษาราชการแทนอธิการบดีมหาวิทยาลัยนเรศวร ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ว่าด้วยความร่วมมือศึกษาและพัฒนางานวิจัยด้านการลดก๊าซเรือนกระจกในภาคพลังงานของประเทศ

บันทึกความร่วมมือดังกล่าวฯ ให้ความสำคัญด้านการร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยทั้งสองในการศึกษาและพัฒนางานวิจัยด้านการลดก๊าซเรือนกระจกในภาคพลังงานของประเทศ ซึ่งเป็นประเด็นปัญหาเร่งด่วนของประเทศที่ต้องการการแก้ไขอย่างถูกต้องและรวดเร็วเพื่อความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อม โดยภายใต้ MoU ฉบับนี้ ทั้งสองฝ่ายจะมีการประสานงาน แลกเปลี่ยนข้อมูล และร่วมกันส่งเสริมสนับสนุนข้อมูลที่เกี่ยวข้องรวมถึงข้อมูลอื่น ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อการดำเนินงานของโครงการตลอดระยะเวลาความร่วมมือ 3 ปี โดยในพิธีลงนามฯ ได้รับเกียรติจาก รองศาสตราจารย์ประเสริฐ ฤกษ์เกรียงไกร รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ รองศาสตราจารย์ ดร.วินิตา บุณโยดม รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ศาสตราจารย์เกียรติคุณ ดร.สัญชัย จตุรสิทธา ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยพหุศาสตร์ และรองศาสตราจารย์วงกต วงศ์อภัย รองผู้อำนวยการสถาบันวิจัยพหุศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ พร้อมด้วย ผู้ที่เกี่ยวข้องร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามฯ เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2567 ณ ห้องประชุมตะวัน กังวานพงศ์ อาคารยุทธศาสตร์ สำนักงานมหาวิทยาลัยเชียงใหม่

สถาบันวิจัยพหุศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

ม.นเรศวร ร่วมกับ บพท. เปิดตัวโครงการวิจัย ‘แก้ปัญหาความยากจนแบบเบ็ดเสร็จในภาคเหนือตอนล่าง’

โครงการวิจัย “การศึกษาแนวทางการแก้ไขปัญหาความยากจนแบบเบ็ดเสร็จและแม่นยำภาคเหนือตอนล่าง: กรณีศึกษาจังหวัดพิษณุโลก” ซึ่งจัดโดย หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) ร่วมกับ มหาวิทยาลัยนเรศวร ถือเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของการนำวิจัยและนวัตกรรมมาใช้ในการแก้ไขปัญหาความยากจนในระดับท้องถิ่น โครงการนี้มีเป้าหมายสำคัญในการศึกษาปัญหาความยากจนในภาคเหนือตอนล่าง โดยเฉพาะในจังหวัดพิษณุโลก ซึ่งมีความท้าทายทางเศรษฐกิจและสังคมที่ซับซ้อน โครงการนี้ไม่เพียงแต่ตอบสนองต่อการพัฒนาเศรษฐกิจในพื้นที่ แต่ยังสอดคล้องกับหลายเป้าหมายของการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) โดยเฉพาะในด้าน SDG 1 (การขจัดความยากจน), SDG 10 (ลดความเหลื่อมล้ำ), และ SDG 8 (การเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืนและการทำงานที่ดี)

1. แก้ไขปัญหาความยากจน: มุมมองจากโครงการวิจัย: การดำเนินโครงการวิจัยนี้มีจุดมุ่งหมายหลักในการพัฒนากลยุทธ์การแก้ไขปัญหาความยากจนในภาคเหนือตอนล่าง โดยเฉพาะในจังหวัดพิษณุโลก ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีความท้าทายหลายด้าน ทั้งความไม่เสมอภาคในการเข้าถึงโอกาสทางเศรษฐกิจ การขาดแคลนทรัพยากร และขาดทักษะในการสร้างอาชีพที่ยั่งยืน การศึกษาแนวทางการแก้ไขปัญหาความยากจนในครั้งนี้จึงมุ่งเน้นการพัฒนานโยบายและกลยุทธ์ที่สามารถนำไปใช้ได้จริงในพื้นที่ โดยมองปัญหาความยากจนในหลายมิติ ทั้งในด้านเศรษฐกิจ การศึกษา การเสริมสร้างทักษะ และการเข้าถึงบริการพื้นฐานที่จำเป็น เช่น น้ำ, พลังงาน, และการดูแลสุขภาพ

2. การสอดคล้องกับ SDG 1: การขจัดความยากจน: โครงการวิจัยนี้มุ่งเน้นการแก้ไขปัญหาความยากจนในระดับพื้นที่ผ่านการให้ความรู้และทักษะแก่ประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มที่มีรายได้น้อยหรือขาดโอกาสในการพัฒนาอาชีพและการศึกษา การพัฒนากลยุทธ์ที่สามารถแก้ไขปัญหาความยากจนอย่างเบ็ดเสร็จและแม่นยำนั้น เป็นการช่วยเพิ่มโอกาสทางเศรษฐกิจและการพัฒนาอาชีพที่เหมาะสมกับบริบทของท้องถิ่น ซึ่งจะทำให้ชุมชนสามารถพัฒนาความสามารถในการสร้างรายได้อย่างยั่งยืน การออกแบบแนวทางการแก้ไขความยากจนที่มีประสิทธิภาพนี้ เป็นการดำเนินงานที่สอดคล้องกับ SDG 1: การขจัดความยากจน ซึ่งมุ่งหวังให้ทุกคนมีชีวิตที่ดีขึ้นและเข้าถึงโอกาสที่เท่าเทียมกัน

การพัฒนาในรูปแบบนี้จะช่วยให้กลุ่มผู้มีรายได้น้อยสามารถเข้าถึงการศึกษา ทักษะการประกอบอาชีพ และแหล่งทรัพยากรที่จำเป็นต่อการพัฒนาคุณภาพชีวิต ซึ่งสามารถนำไปสู่การยุติความยากจนในระดับชุมชนได้อย่างยั่งยืน

3. การลดความเหลื่อมล้ำ: SDG 10: โครงการวิจัยนี้ยังเชื่อมโยงกับ SDG 10: ลดความเหลื่อมล้ำ โดยมุ่งเน้นการลดช่องว่างระหว่างกลุ่มคนที่มีฐานะทางเศรษฐกิจแตกต่างกันในพื้นที่ การศึกษาและวิเคราะห์ปัจจัยที่ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำในด้านต่าง ๆ เช่น การศึกษาไม่เท่าเทียม การขาดทักษะทางวิชาชีพ หรือการขาดแคลนโอกาสในการเข้าถึงทรัพยากรพื้นฐานที่จำเป็น เช่น น้ำ, พลังงาน, การดูแลสุขภาพ, การศึกษา และการมีงานทำ เป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำในชุมชน

การสร้างโอกาสในการพัฒนาโดยการให้ความรู้และทักษะ การส่งเสริมโอกาสทางการศึกษา และการเสริมสร้างโครงสร้างพื้นฐานในพื้นที่ต่าง ๆ จะช่วยลดช่องว่างเหล่านี้และทำให้ทุกคนสามารถมีชีวิตที่มีคุณภาพและมีโอกาสที่เท่าเทียมกัน การลดความเหลื่อมล้ำในสังคมถือเป็นส่วนสำคัญในการสร้างสังคมที่ยุติธรรมและยั่งยืน

4. การเสริมสร้างเศรษฐกิจที่ยั่งยืน: SDG 8: การวิจัยและผลลัพธ์จากโครงการนี้ยังมีบทบาทสำคัญในการเสริมสร้างเศรษฐกิจที่ยั่งยืนในพื้นที่ภาคเหนือตอนล่าง โดยการออกแบบแนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจที่สอดคล้องกับทรัพยากรท้องถิ่นและความสามารถของชุมชน การพัฒนาเศรษฐกิจที่ยั่งยืนเป็นการส่งเสริมอาชีพที่ยั่งยืนและการสร้างงานในชุมชน ถือเป็นส่วนสำคัญของการพัฒนาเศรษฐกิจที่ยั่งยืนในระดับท้องถิ่น

การวิจัยนี้ไม่เพียงแต่สนับสนุนการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของชุมชนท้องถิ่น แต่ยังช่วยให้ชุมชนสามารถพึ่งพาตนเองได้ ลดการพึ่งพิงจากภายนอก และสามารถเติบโตได้ด้วยตัวเองอย่างยั่งยืน SDG 8: การเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืนและการทำงานที่ดี ได้รับการขับเคลื่อนอย่างมีประสิทธิภาพผ่านการสนับสนุนการพัฒนาอาชีพที่เหมาะสมกับทรัพยากรในพื้นที่

5. บทบาทของมหาวิทยาลัยนเรศวรในการขับเคลื่อนการพัฒนาที่ยั่งยืน: มหาวิทยาลัยนเรศวร ซึ่งเป็นสถาบันการศึกษาหลักในภาคเหนือตอนล่าง มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนการวิจัยและการพัฒนาในพื้นที่ ศาสตราจารย์ ดร.จิรวัฒน์ พิระสันต์ หัวหน้าโครงการวิจัย ได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการใช้ข้อมูลวิจัยที่มีความแม่นยำในการออกแบบนโยบายการแก้ไขปัญหาความยากจน โดยระบุว่า “การใช้วิจัยในเชิงลึกเป็นเครื่องมือในการพัฒนาที่ยั่งยืน จะช่วยให้เราเข้าใจปัญหาความยากจนในแต่ละพื้นที่ได้ดีขึ้น และสามารถออกแบบมาตรการที่ตรงกับความต้องการของชุมชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ”

การทำงานร่วมกับ หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) และการนำองค์ความรู้ทางวิชาการมาใช้ในการพัฒนาชุมชน ถือเป็นการขับเคลื่อน SDG 17: การสร้างพันธมิตรเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยการสร้างความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัย, หน่วยงานภาครัฐ, และภาคเอกชน เพื่อแก้ไขปัญหาความยากจนและส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจในระดับท้องถิ่นอย่างยั่งยืน

โครงการวิจัยนี้จึงเป็นการนำวิจัยและนวัตกรรมมาใช้ในการแก้ไขปัญหาความยากจนในพื้นที่อย่างมีประสิทธิภาพและเป็นมิตรกับบริบทท้องถิ่น ถือเป็นการขับเคลื่อนการพัฒนาที่ยั่งยืนที่สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนในทุกด้าน

มหาวิทยาลัยนเรศวร ออกให้บริการรักษาทางทันตกรรมให้กับผู้ต้องขังในเรือนจำกลางพิษณุโลก

เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2567 หน่วยทันตกรรมพระราชทานฯ คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร ได้ออกให้บริการรักษาทางทันตกรรมแก่ผู้ต้องขังในเรือนจำกลางพิษณุโลก โดยมีผู้ต้องขังมารับการรักษาทางทันตกรรมจำนวน 554 ราย ซึ่งการให้บริการในครั้งนี้ไม่เพียงแต่เป็นการช่วยเหลือด้านการรักษาสุขภาพช่องปาก แต่ยังเป็นการสนับสนุนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) โดยเฉพาะ SDGs 3: การส่งเสริมสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี และ SDGs 10: การลดความเหลื่อมล้ำ

ในโครงการนี้ ทีมทันตแพทย์จากหน่วยทันตกรรมพระราชทานฯ ได้มุ่งเน้นการให้บริการรักษาทางทันตกรรมที่ครอบคลุมต่อผู้ต้องขัง ซึ่งรวมถึงการถอนฟัน 548 ราย และการผ่าฟันคุด 6 ราย โดยบริการดังกล่าวได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้ต้องขังหลายราย ซึ่งแสดงความคิดเห็นว่ารู้สึกดีใจมากที่ได้รับการรักษาฟันจากคุณหมอ และบางคนยังแสดงความต้องการให้มีการจัดบริการด้านทันตกรรมในเรือนจำอย่างต่อเนื่อง

การให้บริการทันตกรรมในครั้งนี้ถือเป็นการส่งเสริมสุขภาพช่องปากที่ดีแก่ผู้ต้องขัง ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการรักษาคุณภาพชีวิตของผู้คนในกลุ่มที่มีข้อจำกัดในการเข้าถึงการดูแลสุขภาพ โดยเฉพาะผู้ต้องขังที่อาจไม่ได้รับการดูแลทางทันตกรรมที่เพียงพอในชีวิตประจำวัน การให้บริการนี้ช่วยลดปัญหาด้านสุขภาพช่องปากที่อาจมีผลกระทบต่อสุขภาพโดยรวม และช่วยลดความเจ็บปวดจากปัญหาฟันที่ไม่สามารถได้รับการรักษาตามปกติ

การให้บริการทันตกรรมนี้สอดคล้องกับ SDGs 3: การส่งเสริมสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี ซึ่งมุ่งเน้นการให้บริการสุขภาพที่ทั่วถึงและมีคุณภาพ โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ผู้ต้องขังเป็นกลุ่มคนที่มักไม่ได้รับการเข้าถึงบริการสุขภาพที่มีคุณภาพในทุกๆ ด้าน การที่มหาวิทยาลัยนเรศวรได้ดำเนินโครงการนี้จึงเป็นการแสดงออกถึงความมุ่งมั่นในการทำให้การรักษาสุขภาพช่องปากมีความยั่งยืนและเข้าถึงทุกคนอย่างเท่าเทียม โดยเฉพาะการเข้าถึงบริการสุขภาพสำหรับกลุ่มผู้ต้องขังที่บางครั้งไม่ได้รับความสนใจจากสังคมในด้านนี้

การให้บริการนี้ยังเป็นการส่งเสริมให้ผู้ต้องขังมีสุขภาพช่องปากที่ดีขึ้น ซึ่งไม่เพียงแต่ช่วยบรรเทาความเจ็บปวดทางร่างกาย แต่ยังช่วยเสริมสร้างคุณภาพชีวิตของผู้ต้องขังให้ดีขึ้น ซึ่งเป็นการตอบสนองต่อสิทธิพื้นฐานในการมีสุขภาพที่ดีของทุกคนในสังคม

อีกหนึ่งเป้าหมายที่สำคัญที่โครงการนี้สนับสนุนคือ SDGs 10: การลดความเหลื่อมล้ำ ซึ่งมุ่งเน้นการลดช่องว่างและความไม่เท่าเทียมในด้านต่างๆ รวมถึงการเข้าถึงบริการสาธารณสุข โครงการนี้ช่วยให้ผู้ต้องขังในเรือนจำได้เข้าถึงบริการทันตกรรมอย่างมีคุณภาพ ซึ่งช่วยลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงบริการด้านสุขภาพระหว่างกลุ่มคนที่มีสถานะทางสังคมที่แตกต่างกัน

การให้บริการทันตกรรมแก่ผู้ต้องขังในครั้งนี้เป็นการช่วยลดช่องว่างในการเข้าถึงบริการทางสุขภาพที่มีคุณภาพ เนื่องจากผู้ต้องขังมักจะเผชิญกับข้อจำกัดในการได้รับการรักษาจากสาธารณสุขที่มีอยู่ในระบบ การนำบริการทันตกรรมไปให้ถึงกลุ่มนี้ถือเป็นการปฏิบัติตามหลักการของ SDGs 10 ในการลดความเหลื่อมล้ำในสังคม โดยมุ่งเน้นให้บริการแก่กลุ่มคนที่อาจไม่ได้รับการดูแลสุขภาพเท่าเทียมกับกลุ่มอื่นๆ

ผลกระทบต่อการพัฒนาที่ยั่งยืนในระดับชุมชน โครงการนี้เป็นตัวอย่างที่ดีของการเสริมสร้างความเท่าเทียมในด้านการเข้าถึงบริการสุขภาพของกลุ่มคนในสังคมที่มักถูกมองข้าม โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ต้องขังที่อาจไม่ได้รับการดูแลสุขภาพช่องปากอย่างเหมาะสม โครงการนี้ไม่เพียงแต่ช่วยบรรเทาปัญหาด้านสุขภาพในขณะนั้น แต่ยังช่วยให้ผู้ต้องขังสามารถกลับเข้าสู่สังคมด้วยสุขภาพช่องปากที่ดีขึ้น ซึ่งจะมีผลกระทบทางบวกในด้านจิตใจและคุณภาพชีวิตในระยะยาว

การที่มหาวิทยาลัยนเรศวรและคณะทันตแพทยศาสตร์ได้ดำเนินการดังกล่าวยังส่งเสริมการมีส่วนร่วมของสถาบันการศึกษากับชุมชนในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน โดยการนำความรู้และทักษะที่มีไปให้บริการแก่ผู้ที่มีความจำเป็นในชุมชน ส่งผลให้การพัฒนาที่ยั่งยืนเกิดขึ้นในระดับท้องถิ่น

ม.นเรศวร ส่งเสริมการเรียนรู้และสร้างโอกาสผู้ประกอบการผ่านพันธมิตรทั้งในและต่างประเทศ

มหาวิทยาลัยนเรศวรให้ความสำคัญกับการส่งเสริมการเรียนรู้และสร้างโอกาสในการเป็นผู้ประกอบการแก่ทั้งนิสิตและบุคลากร โดยมุ่งเน้นการร่วมมือกับเครือข่ายพันธมิตรทั้งภายในและต่างประเทศเพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาในด้านนี้อย่างยั่งยืน

ล่าสุด ดร.ปัญญวัณ ลำเพาพงศ์ รองผู้อำนวยการอุทยานวิทยาศาสตร์มหาวิทยาลัยนเรศวร พร้อมคณะ ได้เข้าร่วมกิจกรรม Knowledge Sharing ในโครงการ “การเรียนรู้จากประสบการณ์เพื่อเร่งการเป็นผู้ประกอบการจากสถาบันอุดมศึกษาร่วมกับเครือข่ายพันธมิตรระหว่างประเทศ” ณ อุทยานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (STeP) โดยได้รับเกียรติจากคุณพันธุ์เพิ่มศักดิ์ อารุณี ผู้อำนวยการกลุ่มภารกิจยุทธศาสตร์ สป.อว. กล่าวเปิดกิจกรรม พร้อมพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ระหว่างกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (สกสว.)

กิจกรรมในครั้งนี้ได้เน้นการแบ่งปันประสบการณ์จากนักศึกษาที่ได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริงทั้งในประเทศ (Inbound) และต่างประเทศ (Outbound) ซึ่งจะช่วยพัฒนาทักษะในการเป็นผู้ประกอบการในอนาคต พร้อมทั้งสนับสนุนการสร้างโอกาสในการจ้างงานอย่างยั่งยืน โดยความร่วมมือในครั้งนี้จะช่วยให้การเรียนรู้ด้านการทำธุรกิจสามารถขยายและพัฒนาได้ต่อเนื่องในระดับนานาชาติ

ม.นเรศวร วางแผนการดูแลด้านสุขภาพจิตนิสิตมหาวิทยาลัยนเรศวร

ในวันที่ 29 มีนาคม 2567 กองกิจการนิสิตร่วมกับโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยนเรศวร ได้จัดการประชุมคณะกรรมการดำเนินงานดูแลสุขภาพจิตนิสิต มหาวิทยาลัยนเรศวร โดยมี ดร.จรัสดาว คงเมือง รองอธิการบดีฝ่ายพัฒนานิสิต ศิษย์เก่า และศิลปวัฒนธรรม เป็นประธานการประชุม เพื่อทบทวนและพัฒนากระบวนการดูแลด้านสุขภาพจิตของนิสิตมหาวิทยาลัยนเรศวรให้มีประสิทธิภาพและตอบสนองต่อความต้องการของนิสิตอย่างมีคุณภาพมากขึ้น การประชุมในครั้งนี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของมหาวิทยาลัยในการส่งเสริมและดูแลสุขภาพจิตของนิสิตอย่างจริงจัง เพื่อสนับสนุนการพัฒนาองค์ความรู้และทักษะต่างๆ ให้กับนิสิตทั้งในด้านการเรียนและการใช้ชีวิตในสังคมได้อย่างสมดุลและยั่งยืน ซึ่งสอดคล้องกับ เป้าหมายที่ 3: การส่งเสริมสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี (SDGs 3) และ เป้าหมายที่ 4: การส่งเสริมการศึกษาที่มีคุณภาพ (SDGs 4) ของการพัฒนาที่ยั่งยืน

การดูแลสุขภาพจิตของนิสิตเป็นหนึ่งในภารกิจที่มหาวิทยาลัยนเรศวรให้ความสำคัญ เนื่องจากสุขภาพจิตที่ดีเป็นรากฐานสำคัญในการสนับสนุนให้นิสิตสามารถเรียนรู้และพัฒนาศักยภาพได้อย่างเต็มที่ ในปี 2567 นี้ มหาวิทยาลัยได้ริเริ่มจัดประชุมคณะกรรมการเพื่อทบทวนกระบวนการดูแลสุขภาพจิตของนิสิต โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินและปรับปรุงกระบวนการดังกล่าวให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เพื่อให้สามารถตอบสนองความต้องการของนิสิตในด้านการดูแลสุขภาพจิตได้ดียิ่งขึ้นและครอบคลุมทุกกลุ่ม

การประชุมในครั้งนี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของมหาวิทยาลัยนเรศวรในการส่งเสริมสุขภาพจิตของนิสิต ซึ่งสอดคล้องกับ เป้าหมาย SDGs 3 ที่มุ่งเน้นการส่งเสริมสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของทุกคนในสังคม โดยเฉพาะการให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพจิตของเยาวชนในสถาบันการศึกษา เพราะสุขภาพจิตที่ดีส่งผลต่อการเรียนรู้และพัฒนาตนเองในทุกด้าน การดำเนินงานในครั้งนี้ยังเป็นการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการพัฒนานิสิตทั้งในด้านการศึกษาและการใช้ชีวิต

การให้บริการด้านสุขภาพจิตที่มีคุณภาพในมหาวิทยาลัยนเรศวรมีบทบาทสำคัญในการช่วยนิสิตที่อาจเผชิญกับปัญหาความเครียด, ความวิตกกังวล, หรือปัญหาสุขภาพจิตอื่นๆ ที่อาจเกิดขึ้นในระหว่างการศึกษา โดยการดูแลในรูปแบบต่างๆ เช่น การให้คำปรึกษา การบำบัด และการจัดกิจกรรมเสริมสร้างทักษะการดูแลสุขภาพจิต ทั้งนี้จะช่วยให้นิสิตสามารถรับมือกับปัญหาทางจิตใจได้อย่างมีประสิทธิภาพและพัฒนาไปสู่การเป็นบุคคลที่มีคุณภาพ

ในขณะเดียวกัน, เป้าหมาย SDGs 4 ที่มุ่งส่งเสริมการศึกษาที่มีคุณภาพก็เป็นอีกหนึ่งเป้าหมายที่มหาวิทยาลัยนเรศวรให้ความสำคัญในการดูแลสุขภาพจิตของนิสิต การส่งเสริมสุขภาพจิตที่ดีไม่เพียงแต่ช่วยให้นิสิตสามารถปรับตัวในการเรียนได้ดีขึ้น แต่ยังเป็นการส่งเสริมให้การศึกษาในมหาวิทยาลัยมีคุณภาพ โดยการให้การดูแลและสนับสนุนด้านสุขภาพจิตช่วยลดปัญหาการขาดเรียนหรือผลการเรียนที่ต่ำลงเนื่องจากปัญหาสุขภาพจิต

การดูแลสุขภาพจิตในเชิงป้องกันและการให้คำปรึกษาแบบเชิงรุก เป็นการเตรียมความพร้อมให้กับนิสิตในการเผชิญกับความท้าทายต่างๆ ในชีวิตทั้งในขณะศึกษาและหลังสำเร็จการศึกษา ทำให้นิสิตมีความสามารถในการเรียนรู้และพัฒนาตนเองไปพร้อมกับการพัฒนาทางด้านวิชาการ

ความสำคัญของการทบทวนกระบวนการดูแลสุขภาพจิต การประชุมในครั้งนี้มีจุดประสงค์สำคัญในการทบทวนและปรับปรุงกระบวนการดูแลสุขภาพจิตของนิสิต เพื่อให้สามารถดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและตรงกับความต้องการของนิสิตในปัจจุบัน โดยมีการจัดทำแผนงานและกิจกรรมต่างๆ ที่เน้นการดูแลทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจ การพัฒนากระบวนการดูแลสุขภาพจิตจึงเป็นสิ่งสำคัญในการเสริมสร้างความแข็งแกร่งและความยั่งยืนในการศึกษา รวมถึงการสร้างสภาพแวดล้อมที่เป็นมิตรและเอื้อต่อการเรียนรู้

การประชุมในครั้งนี้ยังเป็นการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างกองกิจการนิสิตและโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยนเรศวร เพื่อเสริมสร้างโครงสร้างการดูแลสุขภาพจิตที่มีประสิทธิภาพ โดยร่วมมือกันในการจัดกิจกรรมต่างๆ เช่น การให้คำปรึกษาทางสุขภาพจิต การบำบัดและดูแลอาการเครียดจากการเรียน หรือการพัฒนาทักษะการปรับตัวที่สามารถใช้ในชีวิตประจำวันได้ การร่วมมือในครั้งนี้สะท้อนถึงความตั้งใจที่จะให้การดูแลสุขภาพจิตเป็นส่วนสำคัญในกระบวนการพัฒนานิสิต โดยเฉพาะในสภาพแวดล้อมทางการศึกษาที่อาจมีความเครียดและความท้าทายต่างๆ

ม.นเรศวร เสริมสร้างประชาธิปไตยและสังคมยุติธรรม ผ่านโครงการเสริมสร้างบ้านเมืองสุจริต

มหาวิทยาลัยนเรศวรได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยเฉพาะในด้าน SDG 16 ซึ่งมุ่งเน้นการส่งเสริมสันติภาพ การมีส่วนร่วมของประชาชนในการตัดสินใจและการสร้างสังคมที่ยุติธรรมและโปร่งใส ในการนี้ มหาวิทยาลัยนเรศวรได้ดำเนินกิจกรรมที่สอดคล้องกับเป้าหมายดังกล่าว โดยการนำเสนอการศึกษาและการมีส่วนร่วมในการเสริมสร้างประชาธิปไตยที่ยั่งยืนในสังคมไทย

หนึ่งในกิจกรรมที่สำคัญในการดำเนินงานด้าน SDG 16 คือการที่ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.นภิสา ไวฑูรเกียรติ, คณบดีคณะสังคมศาสตร์ ได้รับมอบหมายให้เป็นตัวแทนมหาวิทยาลัยนเรศวรเข้าร่วมพิธีเปิด โครงการเสริมสร้างบ้านเมืองสุจริตภายใต้ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 ซึ่งเป็นกิจกรรมที่มุ่งส่งเสริมการเสริมสร้างสังคมที่ยุติธรรมและโปร่งใส ผ่านการมีส่วนร่วมของเยาวชนและประชาชน

ในโครงการนี้ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.นภิสา ได้นำตัวแทนนิสิตจากคณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวรเข้าร่วมรับฟังบรรยายในหัวข้อ “บทบาทเยาวชนกับสื่อเพื่อประชาธิปไตย” โดยมี นายปดิพัทธ์ สันติภาดา, รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่หนึ่ง และ คุณฐปณีย์ เอียดศรีไชย, ผู้ประกาศข่าวภาคสนามรายการข่าว 3 มิติ ไทยทีวีสีช่อง 3 และเจ้าของเพจข่าว The Reporters ร่วมบรรยายเพื่อเสริมสร้างความรู้เกี่ยวกับบทบาทของเยาวชนและสื่อในกระบวนการพัฒนาประชาธิปไตยที่ยั่งยืนและโปร่งใส

นอกจากนี้ ผู้แทนจากมหาวิทยาลัยนเรศวรยังได้เข้าร่วมกิจกรรมเชิงปฏิบัติการในหัวข้อ Do and Don’t บนโลกออนไลน์ ซึ่งเป็นการส่งเสริมให้ทุกคนมีความรับผิดชอบในการใช้สื่อออนไลน์เพื่อเสริมสร้างบ้านเมืองสุจริต และการร่วมกิจกรรม Interactive Workshop – Design Thinking ที่จัดโดย อาจารย์พองาม เหลี่ยมศิริวัฒนา, อดีตผู้ช่วยผู้อำนวยการวิทยาลัยนานาชาติ มหาวิทยาลัยนเรศวร โดยการทำเวิร์กช็อปนี้ช่วยพัฒนาทักษะการคิดเชิงออกแบบและวิธีการสร้างสรรค์ทางเลือกในการแก้ไขปัญหาของสังคมและประเทศชาติ

กิจกรรมดังกล่าวจัดขึ้นในวันศุกร์ที่ 8 มีนาคม 2567 เวลา 13.00 – 16.00 น. ณ ศูนย์วัฒนธรรมภาคเหนือตอนล่าง วังจันทร์ ริเวอร์วิว มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม จังหวัดพิษณุโลก โดยมี คณะกรรมการบริหารโครงการเสริมสร้างบ้านเมืองสุจริต ของสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรเป็นผู้จัดการ

การดำเนินกิจกรรมในครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของมหาวิทยาลัยนเรศวรในการส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืนภายใต้ SDG 16 โดยการเสริมสร้างเยาวชนและชุมชนให้มีความรู้ความเข้าใจในเรื่องประชาธิปไตย และการใช้สื่อออนไลน์อย่างมีสติและรับผิดชอบ เพื่อสร้างสังคมที่ยุติธรรม โปร่งใส และยั่งยืนในอนาคต

ม.เรศวร จัดกิจกรรมรณรงค์เลิกบุหรี่ ส่งเสริมสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีในมหาวิทยาลัย

เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2567 มหาวิทยาลัยนเรศวรได้จัดกิจกรรมรณรงค์เลิกบุหรี่ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินงานที่มุ่งส่งเสริมสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของนิสิตและบุคลากรในมหาวิทยาลัย โดยกิจกรรมนี้จัดขึ้นภายใต้การดำเนินงานของคณะเภสัชศาสตร์ และได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานต่าง ๆ ของมหาวิทยาลัย เช่น กองกิจการนิสิต และบุคลากรจากหน่วยงานต่างๆ ที่มีส่วนร่วมในการจัดกิจกรรมเพื่อส่งเสริมการเลิกบุหรี่ในสังคมมหาวิทยาลัย โดยมี ผศ.ดร.จรูญ สารินทร์ รักษาการในตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานอธิการบดี เป็นประธานในพิธีเปิดกิจกรรมในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2567 ณ มหาวิทยาลัยนเรศวร

การรณรงค์เลิกบุหรี่ในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อเพิ่มความตระหนักรู้เกี่ยวกับผลกระทบของการสูบบุหรี่ทั้งในด้านสุขภาพและสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับโทษของการสูบบุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้าที่มีต่อร่างกาย รวมไปถึงการให้ความรู้และแนวทางในการเลิกสูบบุหรี่ให้แก่ผู้ที่ต้องการเลิก ทั้งนี้การดำเนินกิจกรรมได้รับการสนับสนุนจาก ผศ.ดร.ภญ.ชวนชม ธนานิธิศักดิ์, ดร.ภญ.วรรณา ตั้งภักดีรัตน์, และ ผศ.ไชยวัฒน์ ไชยสมบูรณ์ ซึ่งเป็นที่ปรึกษาของกิจกรรมในครั้งนี้ โดยมีกิจกรรมหลากหลายที่ถูกออกแบบมาเพื่อให้เกิดการมีส่วนร่วมจากผู้เข้าร่วมกิจกรรม ไม่ว่าจะเป็นนิสิตหรือบุคลากรของมหาวิทยาลัย

กิจกรรมในครั้งนี้ประกอบด้วยหลากหลายกิจกรรมที่ทั้งให้ความรู้และกระตุ้นให้ผู้เข้าร่วมได้มีส่วนร่วมในการตัดสินใจที่ดีต่อสุขภาพของตนเอง ได้แก่:

  1. การให้ความรู้เกี่ยวกับโทษของบุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้า: เป็นการให้ข้อมูลที่สำคัญเกี่ยวกับผลเสียต่อสุขภาพจากการสูบบุหรี่ โดยเน้นย้ำถึงอันตรายของนิโคตินที่มีผลต่อระบบทางเดินหายใจและอวัยวะอื่น ๆ รวมถึงผลกระทบที่เกิดจากการสูบบุหรี่ไฟฟ้าที่ได้รับความนิยมในปัจจุบัน
  2. การจัดโซนให้คำปรึกษาสำหรับผู้ที่สนใจเลิกบุหรี่: ในโซนนี้จะมีการให้คำปรึกษาและแนะนำวิธีการเลิกบุหรี่ โดยการร่วมมือกับผู้เชี่ยวชาญจากคณะเภสัชศาสตร์และบุคลากรทางการแพทย์ที่มีความรู้ในด้านการดูแลสุขภาพและการเลิกบุหรี่
  3. การเล่นเกมตอบคำถามหลังจากให้ความรู้: เพื่อเสริมสร้างการเรียนรู้ที่สนุกสนานและมีส่วนร่วม ผู้เข้าร่วมสามารถตอบคำถามหลังจากฟังการบรรยายเกี่ยวกับผลกระทบของการสูบบุหรี่และเทคนิคในการเลิกบุหรี่
  4. การตัดสติกเกอร์ที่รูปปอดเพื่อสอบถามความคิดเห็นเกี่ยวกับความอยากสูบบุหรี่: กิจกรรมนี้เป็นการกระตุ้นให้ผู้เข้าร่วมประเมินความต้องการของตนเองในการสูบบุหรี่และสามารถรับรู้ถึงผลกระทบของการสูบบุหรี่ที่มีต่อร่างกาย
  5. การประเมินสมรรถนะปอดและการใช้ชุดทดสอบนิโคติน: สำหรับผู้เข้าร่วมกิจกรรมที่ต้องการทราบถึงผลกระทบจากการสูบบุหรี่ จะมีการทดสอบสมรรถภาพปอด และใช้ชุดทดสอบนิโคตินเพื่อตรวจสอบระดับของสารนิโคตินในร่างกาย ซึ่งเป็นเครื่องมือในการตรวจสอบว่าผู้เข้าร่วมกิจกรรมมีความเสี่ยงต่อการเจ็บป่วยจากการสูบบุหรี่มากน้อยเพียงใด
  6. การสัมภาษณ์นิสิตและบุคลากรในพื้นที่จัดกิจกรรม: กิจกรรมนี้เป็นการสัมภาษณ์ความคิดเห็นและประสบการณ์ของผู้ที่เข้าร่วมเกี่ยวกับการสูบบุหรี่และแนวทางการเลิกบุหรี่ ซึ่งจะช่วยให้ผู้จัดกิจกรรมได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ในการปรับปรุงกิจกรรมในครั้งถัดไป

กิจกรรมรณรงค์เลิกบุหรี่ในครั้งนี้สอดคล้องกับ เป้าหมาย SDGs 3: การส่งเสริมสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี ซึ่งมีเป้าหมายในการลดการเสียชีวิตจากโรคที่เกี่ยวข้องกับการสูบบุหรี่และการเสริมสร้างสุขภาพที่ดีสำหรับประชาชนทุกกลุ่ม การรณรงค์ในครั้งนี้ไม่เพียงแต่เน้นการเลิกบุหรี่ในหมู่นิสิตและบุคลากรในมหาวิทยาลัย แต่ยังมีการเผยแพร่ข้อมูลและความรู้เกี่ยวกับการดูแลสุขภาพให้แก่ชุมชนโดยรอบมหาวิทยาลัยอีกด้วย

การสนับสนุนให้ผู้คนเลิกสูบบุหรี่ไม่เพียงแต่ส่งผลดีต่อสุขภาพส่วนบุคคล แต่ยังช่วยลดภาระการรักษาพยาบาลจากโรคที่เกิดจากการสูบบุหรี่ รวมทั้งสร้างสภาพแวดล้อมในมหาวิทยาลัยที่เอื้อต่อการมีสุขภาพที่ดีและการใช้ชีวิตที่ยั่งยืน

การจัดกิจกรรมรณรงค์เลิกบุหรี่ครั้งนี้เป็นตัวอย่างที่ดีของความร่วมมือระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ ในมหาวิทยาลัย ซึ่งรวมถึงคณะเภสัชศาสตร์, กองกิจการนิสิต และบุคลากรที่มีส่วนร่วมในการสร้างสรรค์กิจกรรมเพื่อส่งเสริมสุขภาพให้แก่ชุมชนมหาวิทยาลัย นอกจากนี้ยังเป็นการกระตุ้นให้เกิดความรับผิดชอบร่วมกันในการดูแลสุขภาพทั้งในด้านร่างกายและจิตใจ โดยการให้ความรู้และสนับสนุนในการเลิกสูบบุหรี่

“PM drop” น้ำยาจับฝุ่น PM 2.5 ที่อยู่ในอากาศ

     วันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2567 ณ ห้องประชุม โรงเรียนมัธยมสาธิตมหาวิทยาลัยนเรศวร ได้จัดให้มีการแถลงข่าว ผลิตภัณฑ์ “PM drop” ซึ่งเป็นน้ำยาที่มีประสิทธิภาพในการจับฝุ่น PM 2.5 ที่อยู่ในอากาศให้ตกลงมา ซึ่งมีทั้งแบบสูตรเข้มข้นเพื่อผสม และสูตรพร้อมใช้ โดยในองค์ประกอบของน้ำยาเป็นสารที่มาจากธรรมชาติ

     ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ภญ.วธู พรหมพิทยารัตน์ อาจารย์ประจำคณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร หัวหน้าทีมวิจัย กล่าวว่า ปัญหาฝุ่น PM (Particulate Matter) เป็นปัญหาสภาพแวดล้อมที่มีความรุนแรงในประเทศไทย เป็นผลมาจากหลายปัจจัย ซึ่งมีผลกระทบต่อสุขภาพเศรษฐกิจ และสังคม รวมถึงความเป็นอยู่ของมนุษย์ในระยะยาว ปัจจุบันมีการกำหนดค่ามาตรฐาน PM 2.5 ค่าเฉลี่ย 24 ชั่วโมง ไม่เกิน 35 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ตั้งแต่ปี 2566 พบว่าเกินมาตรฐานทุกปีในหลายพื้นที่ มีสาเหตุมาจากการพัฒนาอุตสาหกรรม การจราจรและการเผาในที่โล่ง โดยเฉพาะในเมืองขนาดใหญ่และเขตอุตสาหกรรมที่มีการจราจร หรือการขนส่งหนาแน่นจนประเทศได้ประกาศว่าประเทศไทยมีฤดูฝุ่นเป็นฤดูกาลที่ 4 ซึ่งจากปัญหานี้ทีมวิจัยที่มี ผศ.ดร.ภญ.วธู พรหมพิทยารัตน์ ดร.พญ.อัญพัชญ์ อติพิมลพัชญ์ และทีมผู้ช่วยนักวิจัย ได้ร่วมกันคิดค้นน้ำยา PM drop” ซึ่งมีส่วนผสมที่เป็นสารมาจากธรรมชาติ โดยทดสอบกับชุดอุปกรณ์สำหรับการวัดประสิทธิผลของการลดฝุ่น PM ที่ได้รับการรับรองมาตราฐาน ประกอบด้วย เครื่องก่อฝุ่น สำหรับใช้ที่สร้างฝุ่น เครืองวัดฝุ่นสำหรับใช้ในการวัดประสิทธิผลของน้ำยา แล้วทำการทดสอบภายในอาคาร นอกอาคาร และพื้นที่โล่งกว้าง พบว่าน้ำยา PM drop สามารถลดฝุ่น PM ให้อยู่ได้ในระดับที่ปลอดภัย โดยใช้ร่วมกับอุปกรณ์ให้เหมาะสมกับขนาดและลักษณะของพื้นที่ สำหรับการฉีดพ่นเป็นละอองฝอย ได้แก่ Foggy เครื่องพ่นULC ชุดพ่นหมอก โดรนสำหรับพ่นละลอง โดย Foggy และเครื่องพ่นULCเหมาะสำหรับใช้ลดฝุ่นภายในอาคาร ชุดพ่นหมอกเหมาะสำหรับใช้เป็นม่านกันฝุ่นในอาคาร และโดรน ใช้ในการพ่นละอองสำหรับการสันทนาการหรือกิจกรรมภายนอกซึ่งสามารถใช้ร่วมกับหัวพ่นหมอกได้

ทั้งนี้ ผลิตภัณฑ์“PM drop” น้ำยาลดฝุ่น PM ในอากาศ ได้ยื่นขอรับรองสิทธิบัตรพร้อมต่อยอดสู่เชิงพาณิชย์ ตามวิสัยทัศน์ของมหาวิทยาลัยนเรศวร “มหาวิทยาลัยเพื่อสังคมของผู้ประกอบการ” สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ผศ.ดร.ภญ.วธู พรหมพิทยารัตน์ โทรศัพท์ 08 1671 3839 หรือกองการถ่ายทอดเทคโนโลยีและบริหารจัดการทรัพย์สินทางปัญญา โทรศัพท์ 0 5596 8727

ที่มา: งานประชาสัมพันธ์ มหาวิทยาลัยนเรศวร

Sustainability

NARESUAN UNIVERSITY

Solverwp- WordPress Theme and Plugin